คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8122/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของตนเองด้วยการรับมรดกมาจากบิดา แม้จำเลยจะเพิ่งทราบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลยก่อนฟ้องประมาณ 3 ปีก็ตาม แต่เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีจำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วหาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทเนื้อที่ 32 ไร่เศษ โดยเห็นบ้านจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ได้ซักถามว่าบ้านจำเลยอยู่ในหรือนอกเขตโฉนดที่ดินที่ซื้อขายกัน และจำเลยอยู่โดยสิทธิอันใด พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์รู้ว่ามีผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินที่โจทก์รับซื้อมาจากผู้ขาย กรณีดังกล่าวย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับโอนไว้โดยสุจริต และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองจำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382แต่โจทก์ผู้มีชื่อ ในโฉนดที่ดินดังกล่าวไม่มีหน้าที่ไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองให้แก่จำเลย เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องดำเนินการให้มีชื่อของตนในโฉนดที่ดินต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 190โดยซื้อมาจากนางฉลวย ข้อวรรณา เมื่อประมาณเดือนเมษายน2534 โจทก์ทราบว่าจำเลยเข้ามาทำสวนในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ทางด้านทิศเหนือ โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า บิดามารดาจำเลยยกที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 45 ตารางวา ให้จำเลยและจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์มาเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วที่ดินดังกล่าวมิได้อยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 190 เมื่อวันที่16 พฤษภาคม 2498 ทางราชการได้ออกหลักฐานการครอบครองให้จำเลย คือ ส.ค.1 เลขที่ 116 หากที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตโฉนดที่ดินเลขที่ 190 จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว โจทก์กระทำการโดยไม่สุจริตสมคบกับนางฉลวย ข้อวรรณา เจ้าของที่ดินจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์เพื่อตัดสิทธิมิให้จำเลยยกเรื่องการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครอง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 45 ตารางวาโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 190 ระหว่างโจทก์กับนางฉลวย ข้อวรรณาเฉพาะส่วนที่จำเลยครอบครองปรปักษ์ และให้โจทก์จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองปรปักษ์แก่จำเลยหากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินที่จำเลยกล่าวอ้างมีเนื้อที่1 ไร่เศษ จำเลยครอบครองทำประโยชน์ยังไม่ถึง 10 ปีแบบแจ้งการครอบครองที่ดินตามคำให้การเป็นเอกสารปลอมที่ดินดังกล่าวจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และโจทก์ซื้อมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แม้จะฟังได้ว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์แต่จำเลยยังไม่ได้ไปจดทะเบียนสิทธิดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธิยกขึ้นอ้างต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ 190 ของโจทก์ ให้จำเลยชำระเงินเดือนละ 500 บาทแก่โจทก์นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะเลิกมาเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงดังกล่าว ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยถึงแก่กรรมนายจรัส แสงสน ทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 190 เนื้อที่ 32 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา จากนางฉลวย ข้อวรรณาและจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 58 ตารางวา ตามแผนที่วิวาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว
สำหรับปัญหาที่โจทก์แก้ฎีกาว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่าเป็นที่ดินของตนเองด้วยการรับมรดกมาจากบิดา จำเลยเพิ่งทราบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลยก่อนฟ้องประมาณ 3 ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เห็นว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนางฉลวยเมื่อจำเลยเข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า10 ปี ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่
ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริตหรือไม่นั้น โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ในวันที่โจทก์ไปดูที่ดินกับพันตำรวจเอกธารินทร์ จันทราทิพย์ ผู้ติดต่อเสนอขายให้โจทก์นั้น พันตำรวจเอกธารินทร์ไม่ได้บอกโจทก์ว่าแนวเขตทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศใต้จดอะไรบ้างคงทราบแต่เพียงว่าแนวเขตด้านตะวันตกติดกับถนนสายเอเชีย โจทก์ไม่เห็นบ้านปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว เพิ่งมาเห็นว่า มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินหลังจากที่โจทก์ไปซื้อที่ดินดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เห็นว่า การที่โจทก์จะซื้อที่ดินเนื้อที่ 32 ไร่เศษเป็นเงินจำนวน 600,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินจำนวนมากโจทก์น่าจะไปดูสภาพที่ดินสอบถามถึงอาณาเขตที่ดินและที่ตั้งของที่ดิน ตลอดจนต้องตรวจสอบก่อนว่ามีผู้ใดอาศัยหรือทำประโยชน์อยู่บนที่ดินบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินที่ซื้อขายเป็นที่ดินมีโฉนด โจทก์น่าจะต้องไปตรวจดูหลักหมุดว่าที่ดินที่พันตำรวจเอกธารินทร์แนะนำหรือที่ผู้ขายซื้อถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ดังนั้น หากโจทก์ไปดูที่ดินแล้วโจทก์ต้องเห็นบ้านปลูกในที่ดินดังกล่าว ข้ออ้างที่ว่าโจทก์ไม่เห็นบ้านปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวจึงขัดกับความเป็นจริงไม่น่าเชื่อถือ เมื่อโจทก์เห็นบ้านจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวแต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซักถามจำเลยหรือนางฉลวยผู้ขายหรือพันตำรวจเอกธารินทร์ผู้แนะนำว่าบ้านจำเลยอยู่ในหรือนอกเขตโฉนดที่ดินที่ซื้อขายกัน และจำเลยอยู่โดยสิทธิอันใดพฤติการณ์แสดงว่าโจทก์น่าจะรู้ว่ามีผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินบางส่วนของที่ดินที่ซื้อจากนางฉลวย กรณีดังกล่าวย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับโอนไว้โดยสุจริต และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง แต่ที่จำเลยมีคำขอให้โจทก์ไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองให้แก่จำเลยนั้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ในอันที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามคำขอของจำเลยหากแต่เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องดำเนินการให้มีชื่อของตนในโฉนดที่ดินต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ให้ยกคำขอของจำเลยตามคำฟ้องแย้งในส่วนที่ขอให้โจทก์ไปจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย

Share