คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า รถแท็กซี่คันที่เกิดเหตุเป็นรถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3878กรุงเทพมหานครของอ. น้องชายจำเลยที่ 2 ไม่ใช่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 จึงเป็นการฟ้องผิดตัวนั้น ปรากฏว่า ในข้อนี้จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร เท่านั้น จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ว่า รถแท็กซี่คันเกิดเหตุไม่ใช่คันเดียวกับที่โจทก์ฟ้องข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถแท็กซี่ ได้นำรถแท็กซี่ หมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ไปเข้าเป็นสมาชิกในสหกรณ์แท็กซี่ก่อน แล้วให้จำเลยที่ 1 นำออกไปวิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ย่อมต้องร่วมรับผิดในการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานครจำเลยทั้งสองร่วมกันนำรถวิ่งบริการรับส่งผู้โดยสารเพื่อหาประโยชน์ร่วมกัน โดยจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถแท็กซี่คันดังกล่าวในทางการที่จ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ชนโจทก์ได้รับอันตรายสาหัส แขนซ้ายและขาขวาหัก ทำให้โจทก์เสียหายโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายให้โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองปฏิเสธขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 88,295 บาท และดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 3,622 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 91,917 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 88,295 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายโดยชัดแจ้งว่าเป็นรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียนเท่าใดเพราะจำเลยที่ 2 มีรถแท็กซี่หลายคัน จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ไม่เคยเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 นำรถของจำเลยที่ 2 ออกวิ่งบริการรับส่งผู้โดยสารเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันแต่อย่างใด หากจำเลยที่ 1 เช่ารถแท็กซี่ของจำเลยที่ 2 ไปรับจ้าง จำเลยที่ 1 ก็มิใช่เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่เป็นความจริง ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 71,542.54บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 68,795 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่ารถแท็กซี่คันที่เกิดเหตุเป็นรถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3878กรุงเทพมหานครของนายอนุนันท์ เชิดชูบุพการี น้องชายจำเลยที่ 2ไม่ใช่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 จึงเป็นการฟ้องผิดตัวนั้นศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่า ในข้อนี้จำเลยที่ 2 ก็ได้ให้การเพียงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร เท่านั้นจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ว่า รถแท็กซี่คันเกิดเหตุไม่ใช่คันเดียวกับที่โจทก์ฟ้อง ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ขับรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร โดยประมาทชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บ มีปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1เป็นคนขับรถของจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์ร่วมกัน การที่จำเลยที่ 2จะนำรถแท็กซี่ออกวิ่งรับส่งคนโดยสารได้จะต้องนำรถแท็กซี่ของตนไปเข้ากับสหกรณ์แท็กซี่ สหกรณ์แท็กซี่ได้ประโยชน์จากเจ้าของรถโดยได้รับเงินเข้าสมาชิก เจ้าของรถแท็กซี่ได้ประโยชน์ในการที่มีสิทธินำรถแท็กซี่ออกวิ่งรับส่งผู้โดยสารได้ จำเลยที่ 2 ไม่ได้มาเบิกความและไม่ได้นำสืบหักล้างข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าว แต่นายอนุนันท์พยานของจำเลยที่ 2 เบิกความว่า พยานมีรถแท็กซี่ให้เช่า 3 คันพี่ชายของพยานมีรถแท็กซี่ให้เช่า 4 คัน และเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ก่อนนำรถแท็กซี่ให้เช่าจะต้องนำรถแท็กซี่ไปเข้าเป็นสมาชิกในสหกรณ์ก่อน สหกรณ์ได้ค่าสมาชิก พยานได้ประโยชน์โดยการได้นำรถแท็กซี่ออกวิ่งรับส่งคนโดยสารได้เป็นสิทธิของพยานที่จะให้ผู้ใดขับรถแท็กซี่ของพยานก็ได้ คำเบิกความของนายอนุนันท์จึงสนับสนุนข้อนำสืบของโจทก์ให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่นายอนุนันท์พยานจำเลยที่ 2 เบิกความว่า พยานให้จำเลยที่ 1 เช่ารถแท็กซี่คันหมายเลขทะเบียน 1ท-3878 ไปนั้นก็มิใช่เป็นรถแท็กซี่คันเกิดเหตุคดีนี้แต่อย่างใดข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถแท็กซี่ ได้นำรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1ท-3787 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ไปเข้าเป็นสมาชิกในสหกรณ์แท็กซี่ก่อน แล้วให้จำเลยที่ 1 นำออกไปวิ่งรับส่งคนโดยสารเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ย่อมต้องร่วมรับผิดในการทำละเมิดของจำเลยที่ 1ด้วย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share