คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดาโจทก์ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสของบิดาโจทก์กับผู้ตายเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ไปแล้ว ถือได้ว่าบิดาโจทก์กับผู้ตายได้ตกลงแบ่งที่ดินทั้งแปลงดังกล่าวออกเป็นของแต่ละฝ่ายย่อมทำให้ที่ดินในส่วนที่เหลือหมดสภาพจากการเป็นสินสมรสและตกเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ส่วนบ้านนั้นบิดาโจทก์ได้ทำพินัยกรรมยกส่วนของตนครึ่งหนึ่งให้โจทก์แล้วเช่นกัน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจึงตกเป็นของผู้ตายแต่ผู้เดียว ผู้ตายไปยื่นคำขอจดทะเบียนนิติกรรมให้บ้านพิพาทในส่วนของตนให้แก่โจทก์ แต่การให้บ้านพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้รับนั้นจะสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนิติกรรม การให้ดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย กรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนที่เป็นของผู้ตายยังคงเป็นของผู้ตายเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายก็เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท กรณีนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 โจทก์ไม่ได้เป็นทายาท ไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดก ย่อมไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์สินที่ดินพิพาทและครึ่งหนึ่งของบ้านพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายให้บุคคลอื่นได้ เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร แหวน เข็มขัดนาก และเครื่องประดับอื่น ๆ ตามฟ้องเป็นเครื่องประดับกายซึ่งรวมกันแล้วมีราคาไม่มาก เมื่อพิจารณาตามฐานะและรายได้ของบิดาโจทก์และผู้ตายแล้ว เป็นเครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะของผู้ตายแม้ผู้ตายได้มาโดยบิดาโจทก์เป็นผู้หามาให้หรือผู้ตายหาเองในระหว่างสมรสก็ตาม ก็เป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชวนและนางเชื้อ กฤษณวรรณ บิดาโจทก์มีภรรยาชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2474 รวม 3 คนคือ มารดาโจทก์ นางเกื้อ และนางละมัย หลังจากนางเชื้อและนางเกื้อตายแล้ว บิดาโจทก์ได้อยู่กินกับนางละมัยโดยมีสินสมรสร่วมกัน คือที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 แขวงบางยี่เรือราคาประมาณ350,000 บาท กรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในบ้านเลขที่ 370 ตรอกโรงเจราคาประมาณ 30,000 บาท เงินฝากในธนาคารและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 251,896.08 บาท เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชรและเครื่องประดับอื่น ๆ รวมราคาประมาณ 67,210 บาท ค่าเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ถึงวันฟ้อง 3,600 บาท โทรทัศน์ 1 เครื่องราคาประมาณ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 704,706.08 บาท เมื่อบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม นางละมัยได้ไปยื่นคำร้องขอทำนิติกรรมจดทะเบียนประเภทให้เฉพาะส่วนบ้านเลขที่ 370 ให้แก่โจทก์ ณที่ว่าการเขตธนบุรี แต่ยังมิได้จัดการโอนให้เรียบร้อย นางละมัยถึงแก่กรรมไปก่อน หลังจากนางละมัยถึงแก่กรรมแล้วจำเลยที่ 2ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางละมัยได้นำบัญชีเงินฝากและทรัพย์สินข้างต้นไปเก็บรักษาไว้ และสมคบกับจำเลยที่ 1 ไปทำการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 พร้อมบ้านเฉพาะส่วนของนางละมัยด้วยเจตนาอำพรางและไม่สุจริตไม่ได้เสียค่าตอบแทนเพื่อฉ้อฉลโจทก์ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ จึงมีสิทธิเรียกเอาทรัพย์สินดังกล่าวจำนวนครึ่งหนึ่งมารวมเป็นกองมรดกของบิดาโจทก์ สำหรับบ้านเลขที่ 370 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่1038 แขวงบางยี่เรือ โดยให้จำเลยทั้งสองไปแก้ไขโอนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมครึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองแทนด้วย ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 370 (เฉพาะส่วน) ให้แก่โจทก์ ให้ส่งมอบทรัพย์สินและเงินสดกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 120,481.80 บาท พร้อมดอกผลของเงินดังกล่าวเป็นเงิน 5,466.24 บาท ค่าเช่าที่ดินกึ่งหนึ่งเป็นเงิน1,800 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 357,353.04 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบทรัพย์สินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1เป็นทายาทโดยธรรมของนางละมัย ทรัพย์สินตามฟ้องเป็นสินส่วนตัวของนางละมัยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางละมัยได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 พร้อมบ้านเลขที่ 370 ให้จำเลยที่ 2 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนในราคา 50,000 บาท โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินส่วนตัวของนางละมัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบตรงกันว่านายชวน กฤษณวรรณบิดาโจทก์มีภรรยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 พ.ศ. 2478 รวม 3 คน คือ นางเชื้อมารดาโจทก์ นางเกื้อและนางละมัย นางเชื้อกับนางเกื้อถึงแก่กรรมก่อนนายชวน นายชวนมีบุตรกับนางเชื้อและนางเกื้อรวม 8 คน ไม่มีบุตรกับนางละมัย ระหว่างอยู่กินกันเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2493 นายชวน นางละมัยได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ตำบลบางยี่เรือ (แขวงบางยี่เรือ)อำเภอบางกอกใหญ่ (เขตธนบุรี) กรุงเทพมหานคร จากนางบุญหลงภาสบุตร ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2521 นายชวนได้ให้ที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนแก่โจทก์ วันที่ 9 มิถุนายน 2521 นางละมัยได้ให้นายชนะ กฤษณวรรณ ถือกรรมสิทธิ์รวมในส่วนของตน และวันที่20 ธันวาคม 2521 เจ้าพนักงานที่ดินได้แยกโฉนดที่ดินให้ เป็นของโจทก์เนื้อที่ 48 ตารางวา เป็นของนายชนะเนื้อที่ 31 ตารางวา ส่วนนางละมัยถือโฉนดเดิมเหลือเนื้อที่ 61 ตารางวา นายชวนอยู่กับนางละมัยจนนายชวนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2525 นางละมัยถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2526 ก่อนนางละมัยถึงแก่กรรมคือวันที่6 เมษายน 2526 จำเลยที่ 2 และนางประยงค์ กลั่นสกุลมารดาจำเลยที่ 2 ได้สำรวจทรัพย์สินของนางละมัยประมาณ 20 รายการ และรับไปปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชวนส่วนจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางละมัย นางละมัยเป็นพี่จำเลยที่ 1 และเป็นน้องนางประยงค์ คงมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า
1. ที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ตำบลบางยี่เรือ (แขวงบางยี่เรือ)อำเภอบางกอกใหญ่ (เขตธนบุรี) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 61 ตารางวาและครึ่งหนึ่งของบ้านเลขที่ 370 บนที่ดินดังกล่าวซึ่งเหลือจากการที่นายชวนยกให้โจทก์แล้วเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัยหรือไม่
2. การที่นางละมัยไปยื่นคำขอจดทะเบียนนิติกรรมให้บ้านดังกล่าวครึ่งหนึ่งในส่วนของตนแก่โจทก์ที่สำนักงานที่ดินเขตธนบุรีไว้แล้ว ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300 หรือไม่
3. โจทก์ขอเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทและครึ่งหนึ่งของบ้านพิพาทในส่วนที่เหลือจากที่นายชวนยกให้โจทก์แล้วได้หรือไม่
4. เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร เครื่องประดับอื่น ๆเงินฝากในธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลู ตามฟ้อง และค่าเช่าที่ดินพิพาทเดือนละ 600 บาทเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัยหรือไม่
ปัญหาตามข้อ 1 เห็นว่า นายชวนได้ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1038 ตำบลบางยี่เรือ (แขวงบางยี่เรือ) อำเภอบางกอกใหญ่(เขตธนบุรี) กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัยเฉพาะส่วนของนายชวนให้แก่โจทก์ไปแล้ว ถือได้ว่านายชวนกับนางละมัยได้ตกลงแบ่งที่ดินทั้งแปลงดังกล่าวออกเป็นของแต่ละฝ่าย ย่อมทำให้ที่ดินในส่วนที่เหลือหมดสภาพจากการเป็นสินสมรสและตกเป็นสินส่วนตัวของนางละมัย ส่วนบ้านเลขที่ 370 นั้นนายชวนได้ทำพินัยกรรมยกส่วนของตนครึ่งหนึ่งให้โจทก์แล้วเช่นกัน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจึงตกเป็นของนางละมัยแต่ผู้เดียว
ปัญหาตามข้อ 2 เห็นว่า การให้อสังหาริมทรัพย์แก่ผู้รับนั้นจะสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บ้านพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อทางพนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนิติกรรม การให้ดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายกรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนที่เป็นของนางละมัยยังคงเป็นของนางละมัย เมื่อนางละมัยถึงแก่กรรมทรัพย์สินของนางละมัยก็เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท กรณีนี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1278/2527 ระหว่าง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด โจทก์นางเยาว์ แซ่เบ๊หรืออมร ธีระสวัสดิ์ ผู้ร้อง นายออ แซ่อึ้ง กับพวกจำเลย ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างมาในฎีกาของโจทก์นั้นข้อเท็จจริงต่างกับคดีนี้
ปัญหาตามข้อ 3 เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ได้วินิจฉัยแล้วฟังได้ว่าที่ดินพิพาทและครึ่งหนึ่งของบ้านพิพาทในส่วนที่เหลือจากที่นายชวนยกให้โจทก์แล้วเป็นมรดกของนางละมัย โจทก์ไม่ได้เป็นทายาท ไม่มีส่วนได้เสียในกองมรดกดังกล่าวก็ย่อมไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์สินในส่วนนี้ให้บุคคลอื่นได้
ปัญหาข้อ 4 เห็นว่า เครื่องทองรูปพรรณ เครื่องเพชร และเครื่องประดับอื่น ๆ ตามฟ้อง คือสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวนเข็มขัดนาก เป็นเครื่องประดับกายซึ่งรวมกันแล้วมีราคาไม่มากนักเมื่อพิจารณาตามฐานะและรายได้ของบิดาโจทก์และนางละมัยแล้วเครื่องประดับกายดังกล่าวเป็นเครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะของนางละมัย แม้นางละมัยได้มาโดยบิดาโจทก์เป็นผู้หามาให้หรือนางละมัยหามาเองในระหว่างสมรสก็ตามก็เป็นสินส่วนตัวของนางละมัยส่วนเงินฝากในธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลู ทั้งสองบัญชีมีชื่อนางละมัยเป็นเจ้าของ ทั้งก่อนนางละมัยถึงแก่กรรมฝ่ายจำเลยได้สำรวจทรัพย์สินของนางละมัยแล้วทำบันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินของนางละมัยไว้ตามเอกสารหมาย จ.10 โจทก์ซึ่งรู้เห็นการทำบันทึกฉบับดังกล่าวและร่วมลงชื่อไว้ในฐานะพยานก็ไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้งว่าทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมดเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัยนอกจากนี้หลังจากนายชวนถึงแก่กรรมแล้วโจทก์ไม่เคยเรียกร้องขอแบ่งทรัพย์ดังกล่าวจากนางละมัยจนนางละมัยถึงแก่กรรมหลังนายชวน1 ปีเศษ จึงน่าเชื่อว่าทรัพย์สินตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งมีเงินฝากในธนาคารออมสิน สาขาตลาดพลู รวมอยู่ด้วยเป็นสินส่วนตัวของนางละมัย สำหรับค่าเช่าที่ดินพิพาทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินของนางละมัย ดังนั้นเงินรายได้จากค่าเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นของนางละมัยไม่ได้เป็นมรดกของนายชวน ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share