คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 มาตรา 9 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 77 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดกรณีพิพาทเรื่องนี้ ไม่มีบทนิยามคำว่า “ราคาตลาด” ของรถยนต์ให้มีความหมายโดยเฉพาะดั่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฯ (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508 มาตรา 6 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 77 ขึ้นใหม่ โดยให้ถือตามราคาขายปลีก จึงย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่า ราคาตลาดของรถยนต์หมายถึงราคาของรถยนต์ชนิด ขนาด สภาพ คุณภาพ เหมือนกับที่ซื้อขายกันเป็นปกติในท้องตลาดทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจมีทั้งราคาขายส่งและราคาขายปลีก
โจทก์เป็นผู้ผูกขาดในการสั่งรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งเข้ามาและในการประกอบรถยนต์ยี่ห้อดังกล่าวในประเทศไทย โดยผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนี้ในต่างประเทศกำหนดให้โจทก์ต้องขายรถยนต์แก่บริษัท ก. ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายอยู่ก่อนแต่ผู้เดียว จะขายส่งหรือขายปลีกแก่ผู้อื่นไม่ได้ และโจทก์ต้องคิดราคารถที่ขายแก่บริษัท ก. ตามราคาที่บริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศกำหนดมา ด้วยเหตุนี้โจทก์จึงต้องขายส่งรถยนต์ให้แก่บริษัท ก. ในราคาเกือบเท่าต้นทุน และราคาที่โจทก์ขายส่งแก่บริษัท ก. มาเป็นรายรับคำนวณเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้จึงชอบแล้ว เจ้าพนักงานประเมินจะถือเอาราคาที่บริษัท ก. ขายปลีกมาเป็นราคาตลาดแล้วกำหนดราคาขายและรายรับของโจทก์ขึ้นใหม่ แล้วประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าและภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นจากโจทก์หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๔ เจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าของจำเลยที่ ๑ แจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้า เงินเพิ่ม เบี้ยปรับ และภาษีบำรุงเทศบาลจากโจทก์ เป็นเงิน ๔,๒๕๓,๕๗๐ บาท ๑๐ สตางค์ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน ๑,๑๔๑,๖๑๒ บาท ๕๙ สตางค์ โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์ โจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ทั้งภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคล
จำเลยให้การว่า การประเมินเรียกเก็บภาษีการค้า ภาษีเงินได้ เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าของจำเลยที่ ๔ และหนังสือแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ รวมทั้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีอากรรายพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
คดีได้ความว่า เมื่อปี ๒๕๐๔ โจทก์ผูกขาดสั่งรถยนต์ยี่ห้อเฟียตจากประเทศอิตาลีเข้ามาในประเทศไทยและปีเดียวกันนี้โจทก์ลงทุนตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ยี่ห้อเดียวกันในประเทศไทย มีข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยี่ห้อนี้ในประเทศอิตาลีว่า โจทก์จะต้องขายส่งรถที่นำเข้าและที่ประกอบในประเทศไทยให้แก่บริษัท กรรณสูต จำกัด ซึ่งเคยเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ก่อนแต่บริษัทเดียว โจทก์จะขายส่งและขายปลีกให้ผู้อื่นไม่ได้ ในระยะแรก โจทก์ประกอบรถได้น้อย บริษัท กรรณสูต จำกัด ยังมีสิทธิสั่งรถเข้ามาเองได้ โจทก์จะคิดราคารถที่ขายส่งให้บริษัท กรรณสูต จำกัด เกินกว่า ๑ เปอร์เซนต์ของราคารถที่สั่งเข้ามาไม่ได้ โจทก์และบริษัท กรรณสูต จำกัด เคยสั่งรถชนิดเดียวกันลงเรือมาด้วยกัน ราคารถที่ขายส่งจึงต่ำกว่าและแตกต่างกับราคารถที่ขายปลีก เช่น รถยี่ห้อเฟียต ๑๕๐๐ ต้นทุน ๖๓,๙๗๙ บาท โจทก์ขายส่งราคา ๖๔,๐๐๐ บาท บริษัท กรรณสูต จำกัด ขายปลีกให้ลูกค้าไปราคา ๗๖,๐๐๐ บาท โจทก์จึงกำหนดราคาขายส่งเป็นรายรับ และบริษัท กรรณสูต จำกัด กำหนดราคาขายปลีกเป็นรายรับ การเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้ของโจทก์และบริษัท กรรณสูต จำกัด จึงแตกต่างกัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์เสียภาษีการค้าโดยถือเอาราคาขายส่งเป็นมูลค่าหรือราคาตลาดของรถยนต์ยี่ห้อเฟียตรายพิพาทเป็นรายรับถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น พิจารณาแล้ว พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๙ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗๗ ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดกรณีพิพาทเรื่องนี้ ไม่มีบทนิยามคำว่า “ราคาตลาด” ของรถยนต์ให้มีความหมายโดยเฉพาะ จึงย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึงราคาของรถชนิด ขนาด สภาพ คุณภาพ เหมือนกันที่ซื้อขายกันเป็นปกติในท้องตลาดทั่ว ๆ ไป ซึ่งราคาตลาดนี้อาจมีได้ทั้งราคาขายส่งและราคาขายปลีก แต่เรื่องนี้โจทก์เป็นผู้ผูกขาดในการสั่งรถนำเข้าและในการประกอบรถในประเทศไทย แล้วต้องขายรถนั้นในราคาขายส่งให้แก่บริษัท กรรณสูต จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายผู้เดียว จะขายส่งหรือขายปลีกให้ผู้อื่นไม่ได้ จึงมีแต่การผูกขาดในการขายส่ง และราคาขายส่งย่อมต่ำกว่าราคาขายปลีกเป็นธรรมดา เมื่อบริษัท กรรณสูต จำกัด เคยเป็นตัวแทนในการสั่งรถมาก่อน การที่โจทก์ผูกขาดการสั่งรถและทำการประกอบรถภายหลังน่าเชื่อว่าโจทก์ต้องผูกพันรับภาระตามที่บริษัทผู้ผลิตรถยี่ห้อเฟียตในประเทศอิตาลีกำหนดมา โจทก์จึงต้องขายส่งให้บริษัท กรรณสูต จำกัด ในราคาเกือบเท่าต้นทุน ราคาขายส่งกับราคาขายปลีกจึงได้แตกต่างกันมาก จะเอาราคาขายปลีกมาถือเป็นราคาตลาดอย่างเดียวกันดังคำให้การของจำเลยหาได้ไม่ ข้อสำคัญพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๙ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗๗ ซึงใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดกรณีพิพาทในคดีนี้ หาได้บัญญัติราคาตลาดของรถยนต์ว่าให้ถือตามราคาขายปลีกเหมือนดั่งที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๖ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗๗ ดังกล่าวได้บัญญัติไว้ไม่ จำเลยที่ ๔ จะทำการประเมินราคาตลาด กำหนดราคาขายและกำหนดรายรับขึ้นใหม่ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๖๕ ทวิ (๔), ๘๗ ทวิ (๓) (๕) โดยถือเอาราคาขายปลีกเป็นราคาตลาดเป็นรายรับในกรณีนี้หาได้ไม่ ฉะนั้น โจทก์จึงเสียภาษีถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่จำเลยที่ ๔ มีหนังสือแจ้งการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้า และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีคำสั่งให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มตามฟ้อง ตลอดถึงคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน

Share