คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2326-2328/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นพยานในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากีดขวางลำบางทางน้ำสาธารณะ ได้เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดี โดยโจทก์บรรยายคำเบิกความของจำเลยอันมีใจความว่า ลำบางนั้นเป็นทางนำสาธารณะ และว่าความจริงเป็นลำบางหรือคูที่โจทก์ขุดขึ้นในที่ดินของโจทก์ บุคคลทั่วไปมิได้ใช้เรือผ่านไปมาดังนี้ ข้อที่ว่าทางน้ำที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากระทำการกีดขวางจะเป็นทางน้ำสาธารณะจริงหรือไม่นั้น ย่อมเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเป็นข้อสำคัญในคดี ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว

ย่อยาว

คดีทั้ง 3 สำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน

โจทก์ฟ้องทั้ง 3 สำนวนทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้ง 3 สำนวนสาบานตัวแล้วเบิกความเป็นพยานในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 322/2515 ของศาลชั้นต้น บังอาจเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความเป็นข้อสารสำคัญในคดีว่าโจทก์กีดขวางทางสาธารณะซึ่งเป็นลำบางทางน้ำสาธารณะ โดยจำเลยสำนวนที่ 1 เบิกความว่า “เมื่อประมาณ 25 ปีมานี้ ลำบางที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุก(ที่เกิดเหตุในคดีนั้น) เป็นทางน้ำไหล น้ำลึกประมาณ 1 เมตรบ้างไม่ถึงบ้าง ถ้าฤดูน้ำหลากเรือแล่นเรือแล่นเข้าออกได้ และประชาชนใช้ร่วมกันต่อมาได้มีการช่วยขุดลอกกันขึ้นเพื่อใช้เรือไปมาได้สะดวกจนกระทั่งบัดนี้” จำเลยสำนวนที่ 2 เบิกความว่า “ลำบางที่เกิดเหตุเคยเห็นมานาน20 ปีเศษแล้ว เวลาน้ำขึ้นชาวบ้านใช้เรือผ่านไปมาได้ บางครั้งก็ใช้ลากไม้ เป็นการใช้ร่วมกัน เมื่อประมาณ 1 ปีมานี้ ข้าพเจ้ากับจำเลย(หมายถึงโจทก์ในคดีนี้) และชาวบ้านอื่น ๆ ร่วมกันลอกลำบางที่เกิดเหตุเพื่อเอาเรือขนข้าวได้สะดวก” จำเลยสำนวนที่ 3 เบิกความว่า “ลำบางที่เกิดเหตุแต่เดิมมีลักษณะเป็นลำขวด เป็นทางน้ำไหล เวลาน้ำขึ้นเรือผ่านไปมาได้ เวลาน้ำลงเรือก็ผ่านไปมาไม่ได้ เมื่อประมาณ 10 ปีมาแล้วเห็นจำเลย (หมายถึงโจทก์ในคดีนี้) นายวิน ชูสุข กับชาวบ้านอื่น ๆ ประมาณ15 คนช่วยกันขุดลอกลำขวดนี้ เพื่อสะดวกในการใช้เรือผ่านไปมา เมื่อขุดลอกลำขวดจนเห็นเป็นลำบางเช่นทุกวันนี้แล้ว คนทั่วไปก็ใช้เรือผ่านไปมา”

ความจริงลำบางที่เกิดเหตุคดีนั้น มิใช่ลำบางทางน้ำสาธารณะ แต่เป็นลำบางหรือคูของโจทก์ที่โจทก์ขุดขึ้นในที่ดินของโจทก์ โดยขุดในพื้นดินมิได้เป็นลำขวดหรือทางน้ำไหลมาก่อน และขุดขึ้นเพื่อประโยชน์ของที่ดินของโจทก์กับเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของโจทก์บุคคลทั่วไปมิได้ใช้เรือผ่านไปมาการเบิกความเท็จของจำเลยทั้ง 3 สำนวนเพื่อปรักปรำ โจทก์ให้ศาลเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้กระทำผิดในคดีนั้น ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ทั้ง 3 สำนวนบรรยายแต่เพียงว่าจำเลยต่างเบิกความอันเป็นเท็จ มิได้บรรยายว่าข้อความเท็จนั้นเป็นข้อสารสำคัญอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่อาจลงโทษจำเลยได้พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ทั้ง 3 สำนวน

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ทั้ง 3 สำนวนเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยทั้ง 3 สำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องทั้ง 3 สำนวนว่า จำเลยแต่ละสำนวนเบิกความเป็นพยานในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 322/2515 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้ง 3 สำนวนเอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จมาเบิกความเป็นข้อสารสำคัญ ในคดีว่าโจทก์กีดขวางทางสาธารณะซึ่งเป็นลำบางทางน้ำสาธารณะ โดยบรรยายว่าจำเลยแต่ละสำนวนเบิกความว่าอย่างไร และบรรยายด้วยว่าความจริงเป็นอย่างไร และข้อที่ว่าทางน้ำที่โจทก์ถูกฟ้องว่ากระทำการกีดขวางจะเป็นทางน้ำสาธารณะจริงหรือไม่นั้น ก็เป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเป็นข้อสำคัญในคดี การบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้ง 3 สำนวนจึงครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้ว คำพิพากษาฎีกาที่ 2350/2515 ที่ศาลชั้นต้นอ้างนั้นไม่ตรงกับรูปคดีนี้ เพราะคดีนั้นแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความ อันเป็นเท็จว่าอย่างไรและบรรยายฟ้องด้วยว่าการเบิกความเท็จดังกล่าวของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดี แต่ข้อความอันเป็นเท็จที่จำเลยเบิกความดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องนั้น ไม่พอฟังว่าเป็นข้อสำคัญในคดีอันควรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177

พิพากษายืน

Share