แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนว่าต้องจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนนั้น ถ้าไม่จ่ายภายใน 1 เดือนก็ถือว่าผิดสัญญามิพักต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้อีก. ประมวลวิธีพิจารณาแพ่งการแปลเอกสาร อำนาจฟ้อง
ประมวลแพ่งฯมาตรา 113 สัญญาที่มีข้อความตัดอำนาจคู่สัญญามิให้ฟ้องร้องยังโรงศาล ข้อความนั้นเป็นโมฆะกรรม
ย่อยาว
ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้แทนได้ทำสัญญาจ้างเหมาโจทก์ขุดดินถมถนนทางหลวงสายสมุทรปราการ-แปดริ้ว เป็นเงินประมาณ ๓๙,๕๒๐ บาท และจะต้องทำให้เสร็จภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๐ สำหรับการจ่ายเงินค่าจ้างมีสัญญาข้อ ๑๑ ว่า “ผู้รับเหมาต้องได้รับเงินค่าจ้างที่รับเหมาทำการงานเป็นรายเดือน คือในเดือนหนึ่งผู้รับเหมาทำการงานเสร็จไปแล้วเท่าใด กรมโยธาเทศบาลต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้ภายในเวลาอันสมควร” และในสัญญานี้มีข้อ ๑๙ ที่ว่า ฯลฯ ถ้ามีการพิพาทโต้เถียงกันในระหว่างคู่สัญญา ๆ มอบให้อธิบดีกรมโยธาเทศบาลเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดและคู่สัญญาทั้ง ๒ ฝ่ายยินยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาด ซึ่งอธิบดีกรมโยธาเทศบาลตัดสินนั้นทุกประการ
บัดนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำผิดสัญญาข้อ ๑๑ คือโจทก์ได้ขุดดินถมถนนไว้แล้วเสร็จเป็นดิน ๔๓,๓๗๔.๘๐ เมตร์ลูกบาศก์ คิดเป็นเงิน ๘,๒๔๑ บาท ๒๑ สตางค์ ซึ่งจำเลยได้ไปวัดตรวจสอบถูกต้องแล้วแต่หาจ่ายเงินให้โจทก์เป็นรายเดือนตามกำหนดเวลาไม่ จนถึงวันฟ้องล่วงมา ๓ เดือนเศษ โจทก์ได้รับความเสียหายและโจทก์ได้บอกเบิกสัญญากับจำเลยกับขอเงินค่าขุดดินเสร็จจำนวนดังกล่าวแล้ว กับค่าขุดดินซึ่งโจทก์ทำแล้วแต่จำเลยไม่ไปวัดตรวจสอบอีก ๕๑๐ บาท ๑๕ สตางค์ เงินวางประกัน ๑๙๘๐ บาท กับเงินที่จำเลยยึดไว้อีก ๒๐๐ บาท แต่จำเลยไม่คืนเงินและไม่ยอมเลิกสัญญากับโจทก์ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนทั้งหมดนี้พร้อมกับผลกำไรซึ่งโจทก์จะได้จากงานขุดดินที่ยังเหลืออีก ๒๖๔๐ บาท และค่าเสียหายและให้โจทก์กับจำเลยเลิกสัญญากัน
จำเลยให้การว่ามีสัญญาจริงดังฟ้องแต่ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาข้อ ๑๑ เพราะข้อสัญญานั้นมีข้อกำหนดให้จำเลยจ่ายเงินภายในเวลาอันสมควรและตามที่ปฏิบัติต่อกันมา ทั้งในการจ่ายเงินครั้งสุดท้ายนี้จำเลยก็ได้เสนอให้โจทก์มารับเงินภายในเวลาอันสมควร ส่วนจำนวนเงินอื่น ๆ ที่โจทก์เรียกร้องจำเลยก็ปฏิเสธว่าโจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะเรียก กับตัดฟ้องว่าตามสัญญาข้อ ๑๙ ข้อพิพาทในคดีนี้ อธิบดีกรมโยธาเทศบาลยังหาได้ชี้ขาดไม่ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องจำเลย
ศาลแพ่งเห็นว่าข้อตัดฟ้องตามสัญญาข้อ ๑๙ นั้นฟังไม่ขึ้น จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวต่อโจทก์ วินิจฉัยฉะเพาะจำเลยที่ ๑ และเห็นว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประพฤติผิดสัญญาข้อ ๑๑ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามสัญญาข้อ ๑๑ นั้นกำหนดให้จ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน จำเลยไม่จ่ายจึงเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเสียได้ตาม ประมวลแพ่ง ม.๓๘๘ โดยมิพักต้องบอกกล่าวตามมาตรา ๓๘๗ ส่วนข้อตัดฟ้องตามสัญญาข้อ ๑๙ ก็เห็นว่าฟังไม่ขึ้น เพราะสัญญาข้อนี้ไม่ตัดอำนาจโจทก์ที่จะฟ้องร้อง จึงพิพากษากลับศาลชั้นต้นให้โจทก์จำเลยเลิกสัญญา เงินค่าจ้างที่พิพาทซึ่งจำเลยได้นำมาวางศาลแล้วนั้นให้เป็นไปตามที่ตกลงกัน กับให้จำเลยคืนเงินวางประกันกับเงินที่จำเลยยึดไว้ให้โจทก์ ส่วนค่าขุดดินที่ทำแล้ว กับผลกำไรนั้นยังไม่แน่นอนไม่บังคับให้
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่า ในปัญหาข้อตัดฟ้องตามสัญญาข้อ ๑๙ นั้นตามข้อสัญญาเป็นที่เข้าใจว่าตราบใดที่ยังไม่มีการผิดสัญญาขึ้น แต่เกิดมีข้อพิพาทโต้เถียงกันแล้ว คู่สัญญายอมให้อธิบดีกรมโยธาเทศบาลชี้ขาด แต่ถ้าหากได้มีการประพฤติผิดสัญญาขึ้นแล้ว ตามกฎหมายย่อมเกิดสิทธิฟ้องร้องขึ้นทันที หาอยู่ในบังคับสัญญาข้อ ๑๙ นี้ไม่ แต่ถ้าแม้จะให้ถือว่าข้อสัญญาห้ามไม่ให้ฟ้องร้องก็อาจขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนซึ่งเป็นโมฆะ คดีนี้เป็นเรื่องผิดสัญญา ฉะนั้นข้อตัดฟ้องโดยสัญญาข้อ ๑๙ จึงตกไป ส่วนสัญญาข้อ ๑๑ นั้นเห็นว่าตามข้อสัญญา โจทก์ต้องได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน คือโจทก์ต้องได้รับค่าจ้างทุกเดือน และจำเลยต้องจัดจ่ายเงินค่าจ้างให้ในเวลาอันสมควรจากวันที่ทราบจำนวนแน่นอนแห่งค่าจ้างที่จะต้องจ่ายในเดือนนั้น ๆ แต่ต้องไม่เกิน ๑ เดือน ฉะนั้นคดีนี้จำเลยจึงประพฤติผิดสัญญาข้อ ๑๑ ส่วนการที่โจทก์บอกเลิกสัญญานั้น เห็นว่าคดีนี้อยู่ในบังคับประมวลแพ่งฯ ม.๓๘๘ อย่างบริบูรณ์ ซึ่งไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
ส่วนฎีกาจำเลยนั้น เห็นว่าค่าราคาดินที่ขุดขึ้นยังไม่ได้วัดนั้น โจทก์เรียกเป็นค่าเสียหายไม่ใช่เป็นค่าจ้างจึงเรียกได้ ส่วนค่าเสียหายที่ควรจะได้ผลกำไรก็มีสิทธิเรียกได้ตามที่สืบได้ความ
จึงพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์สำหรับค่าแรงงานที่ขุดดินถมแล้วค้างวัด ๕๐๐ บาท ๑๕ สตางค์ กับค่ากำไรที่ควรจะได้รับอีก ๘๘๐ บาท นอกนั้นให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์