แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีมโนสาเร่ จำเลยไปศาลตามหมายเรียกในวันนัดสืบพยานและมิได้ยื่นคำให้การเป็นหนังสือ ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยว่าจะให้การด้วยวาจาหรือกำหนดให้จำเลยให้การด้วยวาจาหรือไม่ หรือจำเลยไม่ให้การหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไป โดยไม่มีคำสั่งเรื่องคำให้การของจำเลยเสียก่อน จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและการที่ศาลชั้นต้นรับฟังคำให้การเป็นพยานของจำเลย โดยถือเสมือนเป็นคำให้การต่อสู้คดีไปในตัวย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยจะต้องให้การเสียก่อนมีการสืบพยานเพื่อให้ทราบข้อทุ่มเถียงของจำเลยอันเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี รวมทั้งหน้าที่นำสืบ แม้จะไม่ต้องทำการชี้สองสถานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 182 ก็ตาม การที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยซึ่งนำสืบภายหลังโดยโจทก์ไม่มีโอกาสนำสืบ แสดงพยานหลักฐานให้เป็นไปอย่างอื่น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังการให้เป็นไปด้วยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน ปัญหานี้ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งนั้นเสียได้ แม้จำเลยจะไม่ได้มีคำขอเช่นนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบมาตรา 195, 243, 246 และ 247 ศาลฎีกาพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ ถูกต้อง แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๑๑,๗๐๔.๘๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๑๐,๒๙๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ไม่ปรากฏคำให้การจำเลยเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาหรือถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๐,๒๙๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาล โดยกำหนดค่าทนายความ รวม ๑,๒๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาข้อกฎหมายที่วินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ และคดีมีประเด็นที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบและรับฟังพยานจำเลยรวมทั้งเอกสารหมาย ล.๒ ได้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไปศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์และให้การต่อศาลไว้แล้วว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญา แต่โจทก์เองกลับเป็นฝ่ายผิดสัญญา โดยใช้อุปกรณ์คอมเพรสเซอร์ไม่ตรงกับที่เสนอขายให้จำเลย เมื่อจำเลยตรวจพบได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว ศาลชั้นต้นรับทราบคำให้การของจำเลย แม้จะมิได้บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา แต่จำเลยไม่อาจทราบได้ว่าเป็นการ ผิดระเบียบ กรณีเห็นได้ชัดว่าการที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยไป ถือได้ว่าจำเลย ได้ให้การต่อศาลแล้ว ศาลชั้นต้นจึงได้รับฟังคำพยานจำเลยและเอกสารหมาย ล.๒ นั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมโนสาเร่กฎหมายให้ศาลดำเนินการพิจารณาคดีไปโดยไม่ชักช้า แต่ต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดี เมื่อจำเลยมาศาล ในวันที่กำหนดไว้ในหมายเรียก จำเลยจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หรือจะให้การด้วยวาจาก็ได้ ในกรณีหลังนี้ให้ศาลจดรายงานพิสดารแห่งคำให้การจำเลยไว้ อ่านให้จำเลยฟัง แล้วให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ถ้าจำเลยมาศาลพร้อมด้วยโจทก์ และศาลไม่เห็นสมควรให้เวลาจำเลยเตรียมตัวสู้คดี ศาลจะอ่านรายงานแห่งใจความที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยฟังแล้วกำหนดให้จำเลยให้การแก้ฟ้องด้วยวาจาไปทีเดียวก็ได้ ในกรณีใดกรณีหนึ่งดังกล่าวมาแล้ว ถ้าจำเลยไม่ให้การ ให้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจมีคำสั่งไม่ยอมเลื่อนเวลาให้จำเลยยื่นคำให้การ และดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป โดยถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๓ สำหรับคดีนี้ จำเลยไปศาลตามหมายเรียกในวันนัดสืบพยานและมิได้ยื่นคำให้การเป็นหนังสือ ไม่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยว่าจะ ให้การด้วยวาจาหรือกำหนดให้จำเลยให้การด้วยวาจาหรือไม่ หรือจำเลยไม่ให้การหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไป โดยไม่มีคำสั่งเรื่องคำให้การของจำเลยเสียก่อน จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และการที่ศาลชั้นต้นรับฟังคำให้การเป็นพยานของจำเลย โดยถือเสมือนเป็นคำให้การต่อสู้คดีไปในตัวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยจะต้องให้การเสียก่อนมีการสืบพยาน เพื่อให้ทราบข้อทุ่มเถียงของจำเลยอันเป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี รวมทั้งหน้าที่นำสืบ แม้จะไม่ต้องทำการชี้สองสถานตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๒ การที่ศาลชั้นต้นรับฟังหลักฐานของจำเลยซึ่งนำสืบภายหลังว่า มีข้อตกลงนอกเหนือจากสัญญาซื้อขายว่าให้ใช้คอมเพรสเซอร์มิตซูบิชิ โดยโจทก์ไม่มีโอกาสนำสืบแสดงหลักฐานให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังการให้เป็นไปด้วยความ ยุติธรรมในการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งนั้นเสียได้ แม้จำเลยจะไม่มี คำขอเช่นนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ ประกอบมาตรา ๑๙๕, ๒๔๓, ๒๔๖ และ ๒๔๗ ไม่จำต้องพิจารณาต่อไปว่า คดีมีประเด็นที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบและรับฟังพยานจำเลย รวมทั้งเอกสารหมาย ล. ๒ ได้หรือไม่
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่