คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 810/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์นำเงินที่ทำมาหาได้ในระหว่างสมรสซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดของศาล และใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว แต่จำเลยที่ 1 เกรงว่าจะมีปัญหาในการแบ่งที่ดินพิพาทเนื่องจากโจทก์มีบุตรที่เกิดจากภริยาคนก่อนจึงขอลงชื่อในโฉนดโจทก์ยินยอมจึงได้ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำมาหาได้ร่วมกันมาจึงเป็นสินสมรส

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีจำเลยที่ 1 โจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาล จำเลยที่ 1 เกรงว่าหากโจทก์ตาย นายเฉลิม มหาคีตะบุตรโจทก์ซึ่งเกิดจากภริยาคนก่อนจะได้ส่วนแบ่งในที่ดินมากกว่าตนจึงขอลงชื่อในโฉนด โจทก์ไม่ขัดข้อง และในวันที่ 25 พฤษภาคม 2478โจทก์ได้ทำนิติกรรมขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมา โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินไปจำนองไว้แก่นายเชย เครือเกตุ โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันใช้หนี้จำนองจนหมด ต่อมาจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินของสหกรณ์การเกษตรเมืองแปดริ้ว จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันโดยโจทก์ให้ความยินยอม นายสุทธิกับภริยาได้ช่วยกันทำนาปลดหนี้จำนอง โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้นายสุทธิกับจำเลยที่ 2คนละครึ่ง แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้สมคบกันโดยสุจริตโอนขายที่ดิน โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เพียงคนเดียว โดยไม่มีการชำระราคาและไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์นิติกรรมซื้อขายจึงเป็นโมฆะ หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์เจ้าหนี้เดิม ขอให้พิพากษาว่าสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ และให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าว หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินจากโจทก์จริง มีการจดทะเบียนตามกฎหมายถูกต้องจึงไม่ใช่เป็นสินสมรส เพราะโจทก์ได้ขายส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ในส่วนที่จะให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมขาดอายุความ เพราะได้มีการซื้อขายตั้งแต่ปี 2478และจำเลยที่ 2 ได้ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต โดยเสียค่าตอบแทน จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ระหว่างสมรสโจทก์ประมูลซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล และจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ในวันเดียวกันนั้นโจทก์ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์และจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่สินสมรสนั้น โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้นำเงินที่ทำมาหาได้ในระหว่างสมรสซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดของศาล และโจทก์ได้ใส่ชื่อในโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว แต่จำเลยที่ 1 เกรงว่าจะเกิดปัญหาในการแบ่งที่ดินพิพาทเนื่องจากโจทก์มีบุตรที่เกิดจากภริยาคนก่อนจึงขอลงชื่อในโฉนดเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ก็ยอมจึงได้สมยอมกันทำนิติกรรมเป็นว่าโจทก์โอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยที่ 1ทำมาหาได้ร่วมกันมา จึงเป็นสินสมรส
พิพากษายืน

Share