คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 810/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์นั้นจะต้องพิจารณาข้อความที่โจทก์บรรยายไว้ทั้งหมดประกอบกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยวิ่งราวทรัพย์โจทก์ไปต่อหน้าเป็นเงิน 1,700 บาท
ดังนี้เรียกว่าโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าทรัพย์ที่จำเลยทำการฉกฉวยไปนั้นเป็นเงิน จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจใช้กำลังกายทำกริยาฉกฉวยวิ่งราวทรัพย์โจทก์ไปต่อหน้าโจทก์เป็นเงิน 1,700 บาท ขอให้ลงโทษตาม มาตรา 297

ศาลจังหวัดปากพนังไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่าจำเลยชวนโจทก์เล่นโปโจทก์เอาธนบัตรวางข้างหน้า 1,700 บาท พอโจทก์เอี้ยวตัวจำเลยก็ฉวยไป จึงมีคำสั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง

จำเลยปฏิเสธ

วันพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่อาจตีความหมายคำว่าทรัพย์ว่าโจทก์หมายถึงตัวเงินหรือทรัพย์สิน ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาได้ดีอันเป็นสาระสำคัญตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 ซึ่งศาลอาจมีคำสั่งได้ตามมาตรา 161 พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องไว้พอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 604/2496 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าการพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์นั้น จะต้องพิจารณาข้อความที่โจทก์บรรยายไว้ทั้งหมดประกอบกัน เรื่องนี้ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าทรัพย์ที่จำเลยทำการฉกฉวยไปเป็นเงิน

พิพากษายืน

Share