แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่สามารถนำประจักษ์พยานมาเบิกความชั้นพิจารณาได้โจทก์จึงส่งคำให้การของประจักษ์พยานชั้นสอบสวนเป็นพยานต่อศาลคำให้การดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้กระทำต่อหน้าศาลและต่อหน้าจำเลย เป็นคำให้การที่พยานมิได้สาบานตนตามลัทธิศาสนาต่อหน้าศาล มิได้ผ่านการถามค้านเพื่อกระจายข้อเท็จจริง สำหรับค้นคว้าหาความจริงโดยละเอียดตามกระบวนความ ลำพังคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวจะฟังมาลงโทษจำเลยหาได้ไม่.
คำซัดทอดระหว่างคนร้ายด้วยกันจะฟังมาประกอบคดีในศาลใช้ยันแก่จำเลยหาได้ไม่ จะใช้ยันเป็นพยานหลักฐานได้ก็เฉพาะต่อตัวผู้ให้การโดยเฉพาะ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 จ้างวานใช้ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำความผิดตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จ้างวานใช้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 289 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 83, 84 ลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่1 ให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยทั้งสองหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ตลอดชีวิต จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 83, 91 และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ วางโทษจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 2 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตเฉพาะจำเลยที่ 3 จำคุก 1 ปี เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และการที่จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4ให้การรับสารภาพตลอดมาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 คงจำคุกจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ตลอดชีวิต
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวที่รู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไปว่าจ้างจำเลยที่ 4 ให้หาคนไปฆ่าผู้ตาย พยานผู้นั้นคือนางแมะยะมะตาเฮ ภริยาของจำเลยที่4 แต่โจทก์ไม่สามารถนำนางแมะยะ มะตาเฮ มาเบิกความในชั้นพิจารณาได้ โจทก์จึงส่งคำให้การชั้นสอบสวนของนางแมะยะ มะตาเฮ ตามเอกสารหมาย จ.15 เป็นพยานต่อศาล คำให้การดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้ทำต่อหน้าศาล และต่อหน้าจำเลย เป็นคำให้การที่พยานมิได้สาบานตนตามลัทธิศาสนาต่อหน้าศาล มิได้ผ่านการถามค้านเพื่อกระจายข้อเท็จจริงสำหรับค้นคว้าหาความจริงโดยละเอียดตามกระบวนความ ลำพังคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวจะฟังมาลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 หาได้ไม่ นอกจากคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวแล้ว โจทก์คงมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และของจำเลยที่ 4 ตามเอกสารหมาย จ.7 และเอกสารหมาย จ.8 ซึ่งมีข้อความซัดทอดไปถึงจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ว่าเป็นผู้จ้างให้ฆ่าผู้ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3และของจำเลยที่ 4 มีฐานะดุจกันกับคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ. 15 ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคำซัดทอดระหว่างคนร้ายด้วยกัน จะฟังมาประกอบคดีในศาลใช้ยันแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 หาได้ไม่ จะใช้เป็นพยานหลักฐานได้ก็แต่ผู้ให้การโดยเฉพาะตัวเท่านั้น ตามแบบอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2509 คดีระหว่างพนักงานอัยการกรมอัยการโจทก์ นายชุ้น แซ่จิว จำเลย ดังนั้นคำให้การชั้นสอบสวนสองฉบับจึงไม่อาจรับฟังมาลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ ร้อยตำรวจเอกมงคล สมาหารพันธุ์พนักงานสอบสวนยอมรับว่า เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นอกจากคำซัดทอดของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 แล้วไม่มีพยานอื่นอีก ส่วนบันทึกการจับกุมจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.3 แม้จะมีข้อความว่าจำเลยที่ 1รับสารภาพก็ยังไม่เป็นพยานหลักฐานที่เพียงพอสำหรับจะฟังมาลงโทษจำเลยที่ 1 คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และของจำเลยที่ 2 ต่างซัดทอดซึ่งกันและกัน และไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และของจำเลยที่ 4 คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจรับฟังมาลงโทษจำเลยทั้งสองได้อีกเช่นกัน พยานหลักฐานโจทก์เป็นดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เสียนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน