แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า จำเลยให้การโต้เถียงว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามบันทึกข้อตกลงแก่โจทก์ จึงเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว การที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นการฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน โดยมีบันทึกข้อตกลงว่าจำเลยจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์จำนวน6,000 บาท ในวันจดทะเบียนหย่าและจำเลยจะจ่ายเงินจำนวน50,000 บาท ภายใน 3 เดือน นับแต่วันหย่า และจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์อีกเดือนละ 1,500 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะทำการสมรสใหม่ หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงิน 92,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระเงินรายเดือนให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะทำการสมรสใหม่
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้วในการหย่าไม่ได้มีการบันทึกการหย่า โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่าโดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้องหากบันทึกการหย่าใช้บังคับได้จำเลยก็ได้ปฏิบัติตามบันทึกดังกล่าวทุกประการแล้ว จนกระทั่งปลายเดือนเมษายน 2531 จำเลยทราบว่าโจทก์สมรสใหม่ ฉะนั้นในเดือนพฤษภาคม 2531 จำเลยจึงไม่ได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์ โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยตามบันทึกการหย่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 92,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ชำระเงินแก่โจทก์เป็นรายเดือน ๆ ละ 1,500 บาทนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าโจทก์จะทำการสมรสใหม่
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินตามบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า จำเลยให้การโต้เถียงว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามบันทึกข้อตกลงแก่โจทก์ จึงเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว การที่จำเลยฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นการฎีกาโต้เถียงในข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยขึ้นมา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย