คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การระบุวันเดือนปีพร้อมกับขีดฆ่าอากรแสตมป์นั้น เพียงมุ่งหมายให้ทราบว่าได้มีการปิดและขีดฆ่าเมื่อใดเท่านั้น เมื่อเอกสารได้มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนมีคำพิพากษาแล้ว แม้จะไม่ได้ลงวันที่ที่ขีดฆ่าก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 การซื้อขายได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ 60 วัน นับแต่วันที่ส่งมอบสินค้า เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดแล้ว ไม่จำต้องทวงถามก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ได้มอบอำนาจให้นายธงไชย ภาณุมาภรณ์นางพรทิพย์ มลิทอง และนางอรุณี โคมทอง เป็นผู้ดำเนินกิจการแทนโจทก์และผู้รับมอบอำนาจดังกล่าวได้มอบอำนาจช่วงให้แก่นายประสิทธิ์ ไกรฤกษ์ ฟ้องคดีนี้ จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมชื่อบริษัทนิวไลอ้อนแมชชีนเนอรี่ จำกัด ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อบริษัทนิวไลอ้อนแมชชีนเนอรี่อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2526 จำเลยซื้อรถตัดหญ้าไปจากโจทก์ 80 คันเป็นเงิน 468,000 บาท หลังจากหักส่วนลดพิเศษ 22 เปอร์เซ็นต์ให้แล้วจำเลยต้องชำระราคาดังกล่าวแก่โจทก์ภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2526 ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระ แต่เมื่อโจทก์ทวงถาม จำเลยผ่อนชำระให้บางส่วนเป็นเงิน 334,000 บาท คงยังค้างอยู่อีก 134,000 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดมีอำนาจทำการแทนโจทก์หนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และหนังสือมอบอำนาจช่วงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3ต่างถูกทำปลอมขึ้นและปิดอากรแสตมป์ไม่ครบตามประมวลรัษฎากรโดยเฉพาะหนังสือมอบอำนาจช่วงไม่ได้ระบุให้มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยเฉพาะเจาะจง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ โจทก์ไม่เคยทวงถามและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงิน 134,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2526 จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 15,075 บาทจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบเพราะปิดเพียง 10 บาทและหนังสือมอบอำนาจช่วงเอกสารหมาย จ.3 ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์เพราะมิได้มีการขีดฆ่าและลงวันที่ ถือไม่ได้ว่ามีการมอบอำนาจ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อพิจารณาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ปรากฏว่าเอกสารฉบับนี้ปิดอากรแสตมป์ 40 บาทหาใช่ 10 บาทดังที่จำเลยฎีกาไม่ หนังสือมอบอำนาจฉบับนี้จึงปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ข้อ 7 ตามประมวลรัษฎากรแล้ว รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ที่จำเลยฎีกาว่าหนังสือมอบอำนาจช่วงเอกสารหมาย จ.3 อากรแสตมป์มิได้มีการขีดฆ่าและลงวันที่นั้นก็ปรากฏว่ามีการขีดฆ่าอากรแสตมป์แล้วเพียงแต่มิได้ลงวันที่เท่านั้นเห็นว่า การระบุวันเดือนปีพร้อมกับขีดฆ่านั้นเพียงมุ่งหมายให้ทราบว่าได้มีการปิดและขีดฆ่าเมื่อใดเท่านั้น เมื่อเอกสารฉบับนี้ได้มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนมีคำพิพากษาแล้วเช่นนี้ แม้จะไม่ได้ลงวันที่ที่ขีดฆ่าก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 เช่นกัน และที่จำเลยฎีกาเป็นทำนองว่าเมื่อจำเลยให้การต่อสู้มาแต่ต้นว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3มีผู้ทำปลอมขึ้น ลายมือชื่อบุคคลในเอกสารดังกล่าวมิใช่ลายมือชื่อที่แท้จริง จึงควรที่โจทก์จะต้องนำนายปลิว จันทรัศมี หรือนายบรรเวช จันทรัศมี ซึ่งตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่าเป็นกรรมการมาเบิกความยืนยัน แต่โจทก์หาได้นำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความไม่ จึงต้องฟังว่าเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวถูกทำปลอมขึ้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่ได้นำบุคคลดังกล่าวมาเบิกความ แต่โจทก์ก็มีนายประสิทธิ์ ไกรฤกษ์ ซึ่งอ้างว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้เป็นผู้ฟ้องคดีนี้มาเบิกความยืนยัน โดยมีนายพรเทพ จรูญพิพัฒน์กุล มาเบิกความสนับสนุน จำเลยไม่มีพยานมาหักล้าง ดังนี้ ฟังได้ว่า หนังสือมอบอำนาจและหนังสือมอบอำนาจช่วงตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 เป็นเอกสารที่แท้จริง ประกอบกับเอกสารดังกล่าวได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ ดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์ตามฟ้อง และโจทก์ทวงถามแล้วหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องอ้างว่าเดิมจำเลยชื่อบริษัทนิวไลอ้อนแมชชีนเนอรี่ จำกัด ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทนิวไลอ้อนแมชชีนเนอรี่อิมปอร์ตเอ็กปอร์ต จำกัด ในเวลาต่อมาจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ จึงฟังได้ว่าเดิมจำเลยชื่อบริษัทนิวไลอ้อนแมชชีนเนอรี่ จำกัด โจทก์มีนายพรเทพ จรูญพิพัฒน์กุลซึ่งเป็นพนักงานขายของโจทก์เบิกความยืนยันว่าได้นำรถตัดหญ้าตามฟ้องที่จำเลยสั่งซื้อไปส่งให้แก่จำเลยที่บริษัทตามใบส่งของเอกสารหมายจ.17 จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระค่ารถตัดหญ้าดังกล่าวให้2 ฉบับ จึงได้ออกใบเสร็จรับเงินชั่วคราวตามเอกสารหมาย จ.18แต่เมื่อเช็ค 2 ฉบับดังกล่าวถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหลังจากนั้นได้มีการทวงถามกันหลายครั้ง จำเลยชำระเงินให้บางส่วนคงค้างชำระ 134,000 บาท โดยโจทก์มีนายประสิทธิ์ ไกรฤกษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานเก็บเงินของโจทก์มาเบิกความสนับสนุนได้ความสอดคล้องต้องกัน เห็นว่า ใบส่งของเอกสารหมาย จ.17 ระบุชื่อเดิมของจำเลยเป็นผู้รับของ แม้จะไม่มีลายมือชื่อผู้รับของ แต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายประสิทธิ์ว่า ใบส่งของเอกสารหมายจ.17 เป็นสำเนา ส่วนต้นฉบับมีลายมือชื่อผู้รับของด้วย แต่เมื่อชำระเงินแล้วคืนต้นฉบับให้จำเลยไป จากคำเบิกความของนายประสิทธิ์ดังกล่าวฟังประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินชำระค่ารถตัดหญ้า แต่เช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามคำเบิกความของนายพรเทพที่เบิกความไว้ข้างต้นที่ใบส่งของเอกสารหมาย จ.17 ไม่มีลายมือชื่อผู้รับของจึงฟังเป็นข้อพิรุธยังไม่ถนัด ยังได้ความจากคำเบิกความของนายประสิทธิ์อีกว่า จำเลยเป็นลูกค้าซื้อสินค้าจากโจทก์มาหลายปีแล้ว โดยมีใบส่งของเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.16 เป็นพยานสนับสนุนได้ความว่าเอกสารดังกล่าวระบุชื่อเดิมของจำเลยทั้งสิ้น ส่วนจำเลยคงมีแต่นายกำพล เพชรกรจักร ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยมาเบิกความลอย ๆ ว่าไม่เคยซื้อสินค้าของโจทก์เท่านั้น ประกอบกับมาคำนึงถึงข้อที่ว่า หากโจทก์จะปั้นแต่งเรื่องขึ้นฟ้องจำเลย น่าจะอ้างว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ทั้งหมด ไม่น่าจะอ้างว่าจำเลยชำระหนี้ให้แล้วบางส่วน ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือดียิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยซื้อรถตัดหญ้าโจทก์ไปและยังค้างชำระเงิน 134,000 บาท ตามฟ้อง ส่วนปัญหาเรื่องการทวงถามนั้น จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องทวงถามก่อนจึงจะฟ้องคดีนี้ได้ เห็นว่า โจทก์นำสืบแล้วว่าการซื้อขายสินค้ารายนี้ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ 60 วัน นับแต่วันที่ส่งมอบสินค้า เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดแล้ว ดังนี้ ไม่ว่าโจทก์จะได้ทวงถามก่อนแล้วหรือไม่ ย่อมไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share