คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายข้าวเปลือกราคาเกินกว่า 500 บาท เมื่อจำเลยตวงข้าวไปจากโจทก์แล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรค 2 แล้ว แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ก็ฟ้องเรียกราคาข้าวจากจำเลยได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (2) ที่ห้ามไม่ให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารนั้น ต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกราคาข้าวที่ขายให้จำเลยโดยไม่มีเอกสารเป็นหนังสือมาแสดง แม้เอกสารจะมีข้อความว่า ” รับฝากข้าวเปลือก” โจทก์ก็นำพยานบุคคลมาสืบได้ว่าเป็นเรื่องซื้อขายข้าวกัน
จำเลยที่ 2 กระทำในนามผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 ได้เอาตราของบริษัทจำเลยที่ 1 มาดีประทับด้วย ถือว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ซื้อข้าวไปจากโจทก์ แทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อเชื่อข้าวเปลือกเจ้าจากโจทก์ ดังนี้จำเลยสามารถเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ผู้ประกอบกสิกรรมฟ้องเรียกเอาค่าผลิตผลแห่งกสิกรรมที่ได้ขายให้จำเลยซึ่งเป็นบริษัทโรงสี กรณีไม่เข้าอยู่ในบังคับแห่งอายุความ 2 ปี อายุความจึงมีกำหนด 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรคท้าย

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ จำเลยที่ ๑ ได้ซื้อข้าวเปลือกเจ้าของนายโกร๋ยโจทก์จำนวน ๗ เกวียน ราคา ๗,๐๐๐ บาท โดยสัญญาว่าจะชำระเงินให้ในเดือนกันยายน ๒๕๐๐ โจทก์ส่งมอบข้าวให้จำเลย ครั้นถึงเดือนกันยายน ๒๕๐๐ โจทก์ไปขอรับเงิน จำเลยไม่มีเงินชำระ โจทก์ถือว่าจำเลยผิดนัด จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๐๐ ถึงวันฟ้อง เป็นเวลา ๕ ปีเศษ โจทก์ขอคิดเอาเพียง ๕ ปี เป็นเงิน ๒,๖๒๕ บาท และเนื่องจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้สมคบกันฉ้อโกงโจทก์โดยจดทะเบียนเลิกบริษัทจำเลยที่ ๑ และสมยอมกันให้จำเลยที่ ๓ โอนกิจการของบริษัทจำเลยที่ ๑ ไปเป็นของจำเลยที่ ๓ ฉนั้น ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ และจำเลยที่ ๓ เป็นกรรมการของบริษัท จำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกันรับผิดด้วย จึงขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๙,๖๒๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในเงินต้น ๗,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้อง ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒-๓ ชำระแทน
เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๐๒ จำเลยที่ ๑ ได้ซื้อข้าวเปลือกเจ้าของนายสละโจทก์เป็นจำนวน ๓๐ เกวียน ๙๒ ถัง ราคา ๓๕,๕๕๘ บาท โดยสัญญาว่าจะชำระเงินให้ในเดือนกันยายน ๒๕๐๒ โจทก์ได้ส่งมอบข้าวดังกล่าวให้จำเลยครั้นถึงเดือนกันยายน ๒๕๐๒ โจทก์ไปขอรับเงิน จำเลยไม่มีเงินชำระให้โจทก์ โจทก์ถือว่าจำเลยผิดนัด จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๐๒ ถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๓ ปี ๘ เดือน เป็นเงิน ๙,๕๕๖ บาท ให้โจทก์และเนื่องจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้สมคบกันฉ้อโกงโจทก์โดยจดทะเบียนเลิกบริษัทจำเลยที่ ๑ และสมยอมให้จำเลยที่ ๓ โอนกิจการของจำเลยที่ ๑ ไปเป็นของจำเลยที่ ๓ ฉนั้น ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ และจำเลยที่ ๓ เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ ๑ ต้องร่วมกันรับผิดด้วย จึงขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔๕,๑๑๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ในต้นเงิน ๓๕,๕๕๘ บาท ตั้งแต่วันฟ้อง ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒-๓ ชำระแทน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ให้การต่อสู้ทั้งสองสำนวนมีใจความว่าเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยซื้อเชื่อข้าวเปลือกเจ้าของโจทก์และไม่เคยสัญญาว่าจะชำระเงินให้ในเดือนกันยายน ๒๕๐๐ และเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๐๒ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยซื้อข้าวเปลือกเจ้าของโจทก์ หากจะมีก็เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ ไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ไม่ได้สมยอมกับผู้ถือหุ้นโอนกิจการของจำเลยที่ ๑ เป็นกรรมสิทธิทั้งหมดแต่ผู้เดียว คดีโจทก์ทั้งสองสำนวนขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
นายแหลมจำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีสองสำนวนว่า จำเลยรับฝากข้าวเปลือกจากโจทก์ไว้จริง แต่โจทก์ได้มาคิดเอาเงินราคาข้าวเปลือกไปจากจำเลยหมดสิ้นแล้วระยะเวลาที่ฝากข้าวถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา ๖ ปีและ ๔ ปีแล้ว แต่โจทก์มิได้คืนใบรับฝากข้าวให้จำเลย จึงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ซื้อข้าวเปลือกเจ้าจากนายโกร๋ยโจทก์ ๗ เกวียนเป็นเงิน ๗,๐๐๐ บาท และซื้อจากนายสละโจทก์ ๓๐ เกวียน ๓๒ ถังเป็นเงิน ๓๕,๕๕๘ บาทและยังไม่ได้ชำระราคาค่าข้าวดังกล่าวให้ผู้ขาย แต่เห็นว่าคดีที่นายโกร๋ยเป็นโจทก์ฟ้องขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว ส่วนคดีที่ยานสละเป็นโจทก์ยังไม่ขาดอายุความและเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ไปซื้อข้าวดังกล่าว-จากโจทก์ เป็นการทำแทนจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นเพียงกรรมการของบริษัทจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าข้าวเปลือก และดอกเบี้ยตามฟ้องรวมทั้งสิ้น ๔๕,๑๑๔ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีในเงินต้น ๓๕,๕๕๘ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่นายสละโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘/๒๕๐๙ โดยยกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๒/๒๕๐๒ ที่นายโกร๋ยเป็นโจทก์ทั้งหมด และให้ยกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๔/๒๕๐๖ เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เสีย
นายโกร๋ย สิงสอน โจทก์อุทธรณ์ และบริษัทโรงสีสุวรรณบวร จำกัด จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน
บริษัทโรงสีสุวรรณบวร จำกัด จำเลยที่ ๑ ฎีกา
นายโกร๋ยโจทก์ฎีกาว่า คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า การซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมีราคาเกินกว่า ๕๐๐ ไม่ได้ทำเป้นหนังสือ โจทก์จะฟ้องร้องขอให้บังคับคดีหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ วรรค ๒, ๓ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยได้ตวงเอาข้าวดังกล่าวจากโจทก์ทั้งสองสำนวนไปแล้ว ถือได้ว่าได้มีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ วรรค ๒ แล้ว ฉนั้นถึงแม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ก็ฟ้องเรียกราคาข้าวเปลือกจากจำเลยได้
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒ ได้เขียนไว้ว่าฝากข้าวเปลือก โจทก์นำสืบว่ากรณีเป็น-เรื่องการซื้อขายหาได้ไม่ เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ วรรค ๒ ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้ในเอกสาร จ.๑ และ จ.๒ จะมีข้อความว่า “รับฝากข้าวเปลือก” โจทก์ก็นำพยานบุคคลมาสืบว่า ความจริงเป็นเรื่องซื้อขายข้าวได้ เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ( ๒) ที่ห้ามไม่ให้ นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารนั้น ต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น แต่คดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเรียกราคาข้าวที่ขายให้จำเลยที่ ๑ ได้โดยไม่ต้องมีเอกสารเป็นหนังสือม่แสดง ฉนั้น ข้อนำสืบของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า กรณีเป็นเรื่องจำเลยซื้อข้าวเปลือกเจ้าจากนายโกร๋ยโจทก์จำนวน ๗ เกวียน คิดราคาเป็นเงิน ๓๕,๕๕๘ บาท และจำเลยยังไม่ได้ชำระราคาค่าข้าวเปลือกดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า นายแหลมจำเลยที่ ๒ รับข้าวของโจทก์ทั้งสองสำนวน ไว้เป็นส่วนตัว แต่อำพรางว่าจำเลยที่ ๒ กระทำในนามบริษัทจำเลยที่ ๑ บริษัทจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ กระทำในนามผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ ๑ ทั้งยังได้เอาตราของบรืษัทจำเลยที่ ๑ ตีประทับด้วย ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ในฐานะเป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้ซื้อข้าวของโจทก์ทั้งสองสำนวนแทนจำเลยที่ ๑ ฉนั้น จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะตามฟ้องของโจทก์เข้าใจไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานซื้อเชื่อหรือรับฝาก ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทั้งสองสำนวนบรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยซื้อข้าวเชื่อข้าวเปลือกเจ้าจากโจทก์ทั้งสองสำนวน จำเลยสามารถเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ตามฎีกาของนายโกร๋ยโจทก์ ที่ฎีกาว่าคดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิจารณาฟังได้ว่านายโกร๋ยเป็นผู้ประกอบกสิกรรม ฟ้องเรียกเอาค่าผลิตผลแห่งกศิกรรมที่ได้ขายให้จำเลย และกรณีไม่เข้าอยู่ในบังคับอายุความ ๒ ปี อายุความจึงมีกำหนด ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๕ วรรคท้าย แต่ทางพิจารณาปรากฏว่านับแต่วันจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาข้าวให้โจทก์จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๕ ปีกว่าแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share