แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กระบือของผู้เสียหายเข้ามากินข้าวของจำเลย จำเลยจับได้แล้วมีความโกรธ ได้ใช้มีดแทงกระบือตาย แล้วพาพรรคพวกมาชำแหละเนื้อกระบือเอาไปกิน โดยทราบดีว่าเป็นกระบือของผู้เสียหายดังนี้ จำเลยยังไม่มีความผิดฐานยักยอกเก็บของตก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2496 เวลากลางวันกระบือของนายเนียร เภาแสน ได้พลัดหายไปจากทำเลเลี้ยง 1 ตัว ราคา 1,200 บาท ต่อมาวันที่ 29 เดือนเดียวกัน เวลาใดไม่ปรากฏนายบุดดี จำเลยที่ 1 นายลี จำเลยที่ 2 จับกระบือที่พลัดหายได้ แล้วบังอาจสมคบกันมีเจตนาทุจริตยักยอกเอากระบือไว้เป็นอาณาประโยชน์ของจำเลย ไม่กระทำตามกฎหมายที่บังคับไว้ และในวันเดียวกันเวลาไม่ปรากฏ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บังอาจสมคบกันฆ่ากระบือดังกล่าวแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่เสียอากรตามกฎหมาย ในวันเดียวกันเวลากลางคืน จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 ได้บังอาจสมคบกันรับเอาเนื้อกระบือที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ยักยอกและฆ่าโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลกกดู่ อำเภอเมืองเลยจังหวัดเลยความผิดฐานยักยอก ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ขอให้เอาคดีขึ้นว่ากล่าว ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 318, 321 พระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์ (ฉบับที่ 2) 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติอากรฆ่าสัตว์ (ฉบับที่ 4) 2496 มาตรา 4 และให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยทั้ง 12 คน ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีฟังได้แต่เพียงว่า กระบือของผู้เสียหายเข้ามากินข้าวในไร่ของนายลี นายบุดดี จำเลย จำเลยทั้งสองนี้ช่วยกันจับได้ นายบุดดี จำเลยที่ 1 โกรธเลยแทงตาย แล้วจำเลยทั้งสองนี้ก็ไปบอกจำเลยอื่นมาช่วยกันชำแหละเนื้อเอาไปกินตามข้อเท็จจริงที่ได้ความยังไม่พอจะฟังว่า จำเลยลักหรือยักยอกเก็บของตกของหายดังโจทก์ฟ้อง จำเลยไม่ได้ได้มาซึ่งทรัพย์นั้นหากเป็นการทำลายทรัพย์นั้นเสียทีเดียว ส่วนที่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองนี้จะเข้าบทความผิดฐานอื่นหรือไม่ ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะโจทก์มิได้ฟ้อง คดียังลงโทษจำเลยทั้งสองฐานยักยอกเก็บของตกไม่ได้แต่ในข้อหาฐานฆ่ากระบือโดยไม่รับอนุญาตนั้น ฟังได้ดังฟ้อง นายบุดดีและนายลีจำเลยจึงมีความผิดตามข้อหานี้ ส่วนจำเลยที่ 3 ถึง 12 ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานรับของโจร เมื่อไม่ได้ความว่ากระบือรายนี้นายบุดดี จำเลยที่ 1 และนายลี จำเลยที่ 2 ได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย เป็นแต่ฟังว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฆ่ากระบือโดยไม่รับอนุญาตจำเลยนอกนั้นเป็นแต่เข้าไปชำแหละเนื้อกระบือที่ตายแล้วเอาไปกินเมื่อรู้เรื่องจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะว่ารับไว้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ และฟังไม่ได้ว่าได้รับไว้โดยรู้ว่าเป็นของได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายพิพากษาว่า นายบุดดีจำเลยที่ 1 นายลี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2496 มาตรา 4 ให้ปรับเรียงตัวผู้กระทำผิดและเรียงตัวสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยปรับคนละ 60 บาท ค่าปรับให้จัดการตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 18 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 ไม่มีความผิดให้ยกฟ้องปล่อยตัวไปที่ขอให้ใช้ราคาทรัพย์ให้ยกเสีย
โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพยานโจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นฟังมา แต่เห็นว่ากรณีจะเป็นเรื่องยักยอกของตกของหายจะต้องได้ความว่า เป็นของตกของหายจริง ๆ คือผู้เก็บได้ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แล้วมิจัดการตามกฎหมายบังคับไว้ และได้ยักยอกเอาทรัพย์นั้น แต่เรื่องนี้ได้ความว่า กระบือรายนี้ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของนายเนียรหายมาจากทำเลเลี้ยง นายเนียรได้ไปแจ้งความและออกติดตามอยู่เรื่อยมา มีเหตุผลให้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2รู้อยู่ดีว่า กระบือตัวนั้นเป็นกระบือของนายหั่งพ่อตานายเนียร ดังปรากฏในคำให้การของจำเลย 2 คนนี้ในชั้นสอบสวน ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ที่ ฆ่ากระบือและเอาเนื้อกระบือ จึงมิใช่เป็นเรื่องยักยอกเก็บของตกของหาย และมิจำต้องวินิจฉัยความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 เพียงฐานฆ่ากระบือตามพระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์จึงไม่มีเหตุจะแก้ไข ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 นั้นข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่า จำเลยรู้หรือควรรู้ได้ดีว่า กระบือที่ชำแหละเนื้อเอาไปกินนั้น เนื้อกระบือมิใช่เป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นกระบือของคนอื่นเข้ามากินข้าวในไร่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฆ่าตายอันแสดงอยู่ว่าทรากกระบือมิใช่ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีความผิดฐานรับของโจรพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 321 ให้จำคุกคนละ 15 วัน แต่ให้รอการลงโทษไว้ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 41 ตามที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2494 มาตรา 3 มีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้คงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งให้รับเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 จะมีความผิดฐานยักยอกเก็บของตกหรือไม่และฎีกาในข้อที่ให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์
ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้ว เฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 10 และที่ 12 ซึ่งศาลฎีกาได้สั่งให้จำหน่ายคดีเพราะส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้ยังไม่ได้นั้น บัดนี้ปรากฏตามรายงานพิจารณาลงวันที่ 31 ตุลาคม 2498 ว่า นายบุดดี จำเลยที่ 1 นายประเสริฐ จันทร์สว่างจำเลยที่ 4 นายทา วรินทรา จำเลยที่ 5 นายบุญ กันทนะ จำเลยที่ 10 นายพัน แก้วบุดดี จำเลยที่ 12 รวม5 คน มาศาล ศาลสั่งไม้ส่งสำเนาฎีกาของโจทก์ให้จำเลยรับไปทั้ง 5 คนแล้ว ศาลฎีกาจึงพิจารณาเฉพาะจำเลยทั้ง 5 ที่กล่าวนี้ต่อไป เฉพาะจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 10 ที่ 12 ทั้ง 4 คนนี้ มิได้ฎีกาขึ้นมาว่าอย่างใด เป็นแต่โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกาขอให้จำเลยทั้ง 4 นี้ใช้ราคากระบือแก่เจ้าทรัพย์อย่างเดียว ข้อนี้ได้ความจากนายสีนายจันทาพยานโจทก์ว่า เมื่อนายบุดดี นายลี จำเลยฆ่ากระบือตายแล้วได้มาเรียกพยานไปช่วยชำแหละเนื้อ เมื่อไปถึงเห็นกระบือตายตัวแข็งและเลือดหยุดไหลแล้ว เห็นคน 13 คน คือจำเลยทั้งหมดและนายทอดชุมกันอยู่ที่ทรากกระบือ นั่งบ้างยืนบ้าง คนที่ช่วยชำแหละเนื้อไม่ได้ประจำเพราะเข้าไม่ค่อยถึง มีการสับเปลี่ยนให้คนที่ยังไม่ได้ชำแหละเข้ามาบ้าง ชำแหละกันเอาแต่เนื้อกระดูกขาและซี่โครงไม่ได้เอาออก เมื่อชำแหละแล้วนายลี นายบุดดีจำเลยได้แบ่งให้ทุกคน ได้ความเพียงเท่านี้ยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้วได้สมคบในการได้กระบือรายนี้มา เป็นแต่ได้รับส่วนแบ่งเนื้อกระบือบางส่วนเมื่อตายแล้ว จะให้จำเลยรับผิดในการใช้ราคากระบือทั้งตัวหาชอบไม่ จะแบ่งใช้ใช้ตามส่วนของเนื้อกระบือที่ได้รับก็ไม่ปรากฏว่าได้รับไปเท่าใด เป็น ราคาเท่าใด จะพิพากษาให้ตามที่โจทก์ขอยังไม่ได้ เฉพาะนายบุดดี ตะหวด จำเลยที่ 1 ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานยักยอกของตกของหายตามที่ฟ้องนั้น เฉพาะจำเลยผู้นี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยฐานยักยอกของตกของหายเป็นแต่ลงโทษฐานฆ่ากระบือไม่รับอนุญาต โดยศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอจะฟังว่า จำเลยยักยอกเก็บของตกของหายตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยไม่ได้มาซึ่งทรัพย์นั้นหากเป็นการทำลายทรัพย์นั้นเสียทีเดียว ส่วนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีจะเป็นเรื่องยักยอกของตกของหายจะต้องได้ความว่า เป็นของตกของหายจริง ๆ คือผู้เก็บได้ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แล้วจัดการตามกฎหมายบังคับไว้และได้ยักยอกเอาทรัพย์นั้น แต่เรื่องนี้ได้ความว่า กระบือรายนี้อยู่ในความดูแลรักษาของนายเนียร หายมาจากทำเลเลี้ยง นายเนียรได้ไปแจ้งความและออกติดตามอยู่เรื่อยมา มีเหตุผลให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 รู้อยู่ดีว่ากระบือตัวนั้นเป็นกระบือของนายหั่งพ่อตานายเนียร ดังปรากฏในคำให้การของจำเลย2 คนนี้ ในชั้นสอบสวนการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฆ่าเอากระบือและเอาเนื้อกระบือ จึงมิใช่เป็นเรื่องยักยอกเก็บของตกของหายความปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของนายบุดดี จำเลยตามที่ศาลอุทธรณ์อ้างว่า นายบุดดี จำเลยที่ 1 รับว่า ได้จับกระบือเข้ากินข้าวในไร่ของนายบุดดี เมื่อจับได้แล้วมีความโกรธได้ใช้มีดแทงตาย การที่ฆ่ากระบือครั้งนี้โดยกระบือตัวนี้เข้ากินข้าวมาหลายครั้งแล้ว นายบุดดีได้บอกนายหั่งพ่อตาของนายเนียรให้จับกระบือไป แต่นายหั่งปฏิเสธว่าไม่ใช่กระบือของตนกระบือตัวนี้นายบุดดีเคยเห็นเสมอเป็นกระบือของนายหั่ง นายเนียรการที่ฆ่าครั้งนี้โดยเจ้าของไม่เลี้ยงปล่อยให้เข้าไร่ของนายบุดดีเสียหายประมาณ 200 กระทง ดังนี้ ตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมานี้ ศาลนี้เห็นว่า คดีดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานยักยอกของตกของหาย จะเป็นความผิดฐานอื่นใดหรือไม่นั้นไม่เป็นปัญหาที่จะวินิจฉัยในคดีนี้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ได้ จึงให้ยกฎีกาพิพากษายืน