คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8066/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) บัญญัติให้บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ เท่านั้น มิได้บัญญัติให้ระบุว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนด้วย ดังนั้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าเกิดการกระทำความผิดในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่ชัดแจ้งและทำให้จำเลยเข้าใจได้ดียิ่งกว่าบรรยายว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนเสียอีก จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาแห้งอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายซึ่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 7 (5) ได้บัญญัติไว้แล้วว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จึงไม่จำเป็นต้องอ้างประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ.2539) เรื่องการระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา จำเลยมีกัญชาแห้งอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จำนวน 20 แท่ง น้ำหนัก 17.500 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลรัตนวาปี กิ่งอำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย เจ้าพนักงานจับจำเลยพร้อมยึดได้กัญชาดังกล่าวและโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการติดต่อซื้อขายกัญชาดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76, 76/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 (ที่ถูกมาตรา 26 วรรคสอง), 76/1 วรรคสอง จำคุก 8 ปี และปรับ 200,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี และปรับ 100,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุก เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 4 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อนี้มาเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่บรรยายเกี่ยวกับวันเกิดเหตุให้ชัดแจ้งว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนทำให้จำเลยหลงต่อสู้ จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) บัญญัติให้บรรยายรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ เท่านั้น มิได้บัญญัติให้ระบุว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนด้วยแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าเกิดการกระทำความผิดในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นเวลาที่ชัดแจ้งและทำให้จำเลยเข้าใจได้ดียิ่งกว่าบรรยายว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนเสียอีกจึงเป็นการบรรยายฟ้องตรงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่า โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและจำเลยทราบประกาศนี้แล้ว โดยไม่ได้บรรยายว่าจำเลยได้ทราบประกาศเมื่อใดอย่างไร ทำให้จำเลยไม่เข้าใจและหลงต่อสู้เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ.2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ดังกล่าวที่เกี่ยวกับคดีนี้ก็คือ ประกาศชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ให้กัญชาหมายความรวมถึงทุกส่วนของพืชกัญชาและวัตถุหรือสารต่างๆ ที่อยู่ในพืชกัญชา คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาแห้งอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเทศ 5 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายซึ่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 7 (5) ได้บัญญัติไว้แล้วว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 โดยไม่จำต้องอ้างประกาศกระทรวงดังกล่าว ปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษปรับสุทธิเหลือ 100,000 บาท โดยไม่ได้ระบุว่าให้ขังเกิน 1 ปี ด้วยหรือไม่ และศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนโดยมิได้แก้ไขให้ถูกต้องเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน แต่สำหรับโทษปรับ หากมีการกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี.

Share