คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8059/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่สามีแยกไปพักตามลำพังเนื่องจากสามีภริยาทะเลาะกันโดยมีสาเหตุเกิดแต่สามีเป็นสำคัญและภริยามิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับสามีเป็นกรณีที่สามีจงใจทิ้งร้างภริยาไปฝ่ายเดียวมิใช่สามีภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(4/2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันและให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยยังมีความประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับโจทก์ต่อไป โจทก์เป็นผู้ไม่เหมาะสมที่จะใช้อำนาจปกครองบุตร ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา ให้โจทก์แก่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะข้อที่ขอหย่าจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เมื่อปี 2532 ถึง2534 โจทก์จำเลยได้อยู่ร่วมกันที่แฟลตของการท่าเรือแห่งประเทศไทยการที่โจทก์แยกไปพักอยู่ตามลำพังยังที่ทำงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้นเนื่องจากโจทก์กับจำเลยทะเลาะกัน เพราะโจทก์เป็นหนี้นายบุญยุงค์ โจทก์ถูกจับกุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆเกี่ยวกับหนี้สินที่เกิดจากการเป็นนายหน้าขายสินค้า นอกจากนี้โจทก์ยังนำที่ดินและบ้านที่จังหวัดสมุทรปราการที่จำเลยมีส่วนอยู่ด้วยไปจำนองกับนายประยงค์ ต่อมาถูกเจ้าหนี้ฟ้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการบังคับจำนองเอาที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาด ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ การทะเลาะกันระหว่างโจทก์กับจำเลยอันเป็นเหตุให้โจทก์แยกจากจำเลยไปอยู่ที่อื่นนี้ จึงมีสาเหตุเกิดแต่โจทก์เป็นสำคัญ และจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์จงใจทิ้งร้างจำเลยไปฝ่ายเดียวมิใช่เรื่องที่โจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4/2) ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมายพิพากษายืน

Share