คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8049/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าหน้าที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2555 การส่งหมายมีผลเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ต้องถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยต้องยื่นคำให้การภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ถือว่าได้รับหมาย
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนให้ประธานศาลฎีกาชี้ขาดและให้รอการพิจารณาพิพากษาไว้ชั่วคราว ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ไม่มีบทบัญญัตินิยามคำว่า “การพิจารณา” และ “กระบวนพิจารณา” จึงต้องนำบทนิยามตาม มาตรา 1 (4) และ 1 (7) แห่ง ป.วิ.พ. มาใช้โดยอนุโลม ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ดังนั้น การยื่นคำให้การของจำเลยซึ่งเป็น “กระบวนพิจารณา” อย่างหนึ่ง จึงจำต้องรอไว้ก่อน มีผลให้ระยะเวลานับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 จนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2555 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของประธานศาลฎีกาดังกล่าวย่อมไม่นับรวมในกำหนดเวลาที่จะต้องยื่นคำให้การภายในสิบห้าวัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่าโดยความยินยอม แต่จำเลยทำผิดข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินและการใช้อำนาจปกครองบุตรขอให้บังคับจำเลยคืนทรัพย์ของโจทก์ที่จำเลยลักไปจากบ้านซึ่งเป็นสินสมรสที่ตกลงให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์รวม 27 รายการ ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีแก่โจทก์พร้อมทั้งจัดให้เข้าที่เรียบร้อยดังเดิม หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 748,100 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้เพิกถอนอำนาจปกครองบุตรของจำเลยที่มีต่อเด็กชาย อ. โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร และส่งมอบบุตรคืนแก่โจทก์ ให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 5,398,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นและให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้อง หมายส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลย เจ้าหน้าที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2555 ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาและพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้ส่งถ้อยคำสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดต่อไปและให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11 สำเนาให้อีกฝ่าย ต่อมาประธานศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2555 ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและให้ไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อน ส่วนวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่กำหนดไว้ให้งด
วันที่ 6 สิงหาคม 2555 จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้วเนื่องจากไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดจึงไม่รับคำให้การจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำให้การของจำเลยชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เจ้าหน้าที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2555 การส่งหมายมีผลเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันล่วงพ้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคสอง ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยต้องยื่นคำให้การภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ถือว่าได้รับหมาย
เมื่อวันที่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาและพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งถ้อยคำสำนวนให้ประธานศาลฎีกาชี้ขาดต่อไปและให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวซึ่งกรณีต้องตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11 ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีมีปัญหาว่าคดีจะอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือศาลยุติธรรมอื่น…ให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาให้เป็นที่สุด” และวรรคสองบัญญัติว่า “การขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาด…และในกรณีเช่นว่านี้ให้ศาลนั้นรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว” แต่พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ศ.2553 ไม่มีบทบัญญัตินิยามคำว่า “การพิจารณา” และ “กระบวนพิจารณา” จึงต้องนำบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ศ.2553 ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1 (4) บัญญัติว่า “คำให้การ หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด ๆ ซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นต่อสู้เป็นข้อแก้คำฟ้อง…” (7) “กระบวนพิจารณา หมายความว่า การกระทำใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้อันเกี่ยวด้วยคดีซึ่งได้กระทำไปโดยคู่ความในคดีนั้นหรือโดยศาลหรือตามคำสั่งของศาล…และรวมถึงการส่งคำคู่ความและเอกสารอื่นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้” (8) “การพิจารณา หมายความว่า กระบวนพิจารณาทั้งหมดในศาลใดศาลหนึ่ง ก่อนศาลนั้นชี้ขาดตัดสินหรือจำหน่ายคดีโดยคำพิพากษาหรือคำสั่ง” ดังนั้น การยื่นคำให้การของจำเลยซึ่งเป็น “กระบวนพิจารณา” อย่างหนึ่งตามบทนิยามข้างต้นจึงจำต้องงด “การพิจารณา” ตามบทบัญญัติมาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ศ.2553 บังคับว่าให้รอการพิจารณาพิพากษาชั่วคราวเช่นนี้ การยื่นคำให้การของจำเลยจึงต้องรอไว้ก่อน ฉะนั้นระยะเวลานับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2555 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของประธานศาลฎีกาที่วินิจฉัยชี้ขาดว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลชั้นต้นย่อมไม่นับรวมในกำหนดเวลาที่จะต้องยื่นคำให้การภายในสิบห้าวัน เมื่อถือว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555 การที่จำเลยยื่นคำให้การวันที่ 6 สิงหาคม 2555 จึงเป็นการยื่นคำให้การภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง (ไม่นับระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2555) การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำให้การจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามคำขอของโจทก์ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ทั้งที่จำเลยไม่ได้ขาดนัดยื่นคำให้การดังวินิจฉัยมาแล้วและศาลอุทธรณ์ภาค 5 มิได้แก้ไขเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขโดยให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
พิพากษากลับให้รับคำให้การจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share