คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8036/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฟ้องในตอนแรกเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ และศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณาโดยชอบแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 ทวิ และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 ต่อมาโจทก์แก้ไขฟ้องเพิ่มเติมข้อหาละเมิดอีกหนึ่งข้อ โดยไม่ได้ขอให้บังคับโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์อีก ถือว่าเป็นกรณีที่มีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพฤติการณ์อันเกี่ยวด้วยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจศาลเหนือคดีนั้น การขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวเกิดจากจำเลยประมูลขายอสังหาริมทรัพย์พิพาทแก่บุคคลภายนอกซึ่งต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในท้องที่ที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ผู้เกี่ยวข้องและพยานหลักฐานส่วนหนึ่งที่เกี่ยวด้วยการโอนอสังหาริมทรัพย์ย่อมอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ทั้งคู่ความก็ไม่ได้โต้แย้งกันในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก และไม่ปรากฏเหตุว่าจะทำให้คู่ความและผู้เกี่ยวข้องกับคดีไม่ได้รับความสะดวก หรือทำให้การบริหารจัดการคดีของศาลชั้นต้นไม่เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมไม่ตัดอำนาจของศาลชั้นต้นที่รับฟ้องคดีไว้แล้วที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นต่อไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (2) ทั้งศาลฎีกาได้พิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมไว้พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดรวมกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ต่อไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกเรื่องเขตอำนาจศาลมาพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยเหตุที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยสั่งค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ไม่ชัดเจนว่าเป็นพับในชั้นไหนอย่างไร ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งใหม่ให้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องชัดเจน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 52768, 52769, 52770, 52771, 52772, 52773, 52774, 52777, 52778 และ 52779 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี รวม 10 แปลง เนื้อที่ดิน 60 ไร่ 2 งาน 74 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ โดยปลอดภาระผูกพันใด ๆ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หรือหากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องหรือเป็นการพ้นวิสัยไม่สามารถบังคับตามกฎหมายได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินหรือมัดจำเป็นเงิน 43,001,000 บาท ค่าเสียหายจำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าเสียหายในอนาคตเป็นเงินเดือนละ 13,000,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ ให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 52771, 52772, 52773, 52774, 52777, 52778 และ 52779 ฉบับเจ้าของที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับตามฟ้องแย้ง ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ 10,000,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะถอนการอายัด ถอนการห้ามจำหน่ายจ่ายโอน ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินทั้ง 10 โฉนด ดังกล่าว
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินค่าที่ดินที่โจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลยไปจำนวน 43,001,000 บาท แก่โจทก์ ชดใช้เงินค่าที่ดินที่โจทก์ชำระให้แก่บริษัทเอเซีย โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด จำนวน 20,000,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ต้องเสียหายไม่ได้กำไรจากการขายที่ดินให้แก่บริษัทเอเซีย โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด จำนวน 169,990,001 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 232,991,001 บาท ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 232,991,0001 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การแก้ไขคำฟ้องของโจทก์เป็นการขอเพิ่มเติมข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับนอกเหนือไปจากฟ้องเดิม มิใช่เป็นกรณีเพิ่มทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมหรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (1) (2) ทั้งมิใช่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย การแก้ไขคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบที่จะกระทำได้ ให้ยกคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องภายหลังของโจทก์ไว้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินรวมกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถาน งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา แต่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งในประเด็นเรื่องโจทก์โอนสิทธิเรียกร้องการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่บริษัทเอเซีย โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด ไปแล้ว ซึ่งการที่จำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าว แต่ไปโอนให้บริษัทไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย และประเด็นพิพาทคดีนี้คนละประเด็นกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1489/2556 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้องแย้ง ซึ่งเป็นการแก้ไขให้ตรงคำฟ้องของโจทก์ที่ขอแก้ไข
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ยกฟ้องแย้งจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ต่อศาลที่มีเขตอำนาจ คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์และจำเลยทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิจารณาตั้งแต่การชี้สองสถานเป็นต้นไป และพิพากษาต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า เดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ขอให้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง ระหว่างพิจารณาปรากฏว่า จำเลยประมูลขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทดังกล่าวแก่บุคคลภายนอก โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง โดยเพิ่มข้อหาอ้างว่าจำเลยทำละเมิด และแก้ไขคำขอท้ายฟ้องเป็นให้คืนเงินมัดจำและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการเพิ่มข้อหาและขอบังคับนอกเหนือจากฟ้องเดิมไม่ใช่การแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย จึงมีคำสั่งยกคำร้อง คดีมีการอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาในประเด็นนี้ถึงที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมภายหลังไว้พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดรวมกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ และศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ต่อมา โดยให้โอกาสจำเลยยื่นคำให้การเพิ่มเติมตามข้ออ้างในคำฟ้องของโจทก์ที่แก้ไข และให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถาน งดสืบพยาน และพิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย โดยเห็นว่าคำขอบังคับตามฟ้องของโจทก์ที่แก้ไขเพิ่มเติมภายหลังไม่ได้ขอให้โอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจึงเป็นเรื่องหนี้เหนือบุคคลไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น คดีมีการอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาเฉพาะในประเด็นเขตอำนาจศาล โดยในชั้นนี้มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำฟ้องของโจทก์ภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแล้วอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พระธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดเรื่องเขตอำนาจศาลไว้เพื่อให้การบริหารจัดการคดีของศาลยุติธรรมเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนผู้มีอรรถคดีและผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีโจทก์ที่ยื่นฟ้องในตอนแรกเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นได้รับฟ้องไว้พิจารณาโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 ทวิ และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 การที่ต่อมาโจทก์แก้ไขฟ้องเพิ่มเติมข้อหาละเมิดอีกหนึ่งข้อ โดยไม่ได้ขอให้บังคับโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์อีก ถือว่าเป็นกรณีที่มีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพฤติการณ์อันเกี่ยวด้วยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจศาลเหนือคดีนั้น การขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่จำเลยประมูลขายอสังหาริมทรัพย์ที่พิพาทนั้นแก่บุคคลภายนอกซึ่งต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในท้องที่ที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ซึ่งผู้เกี่ยวข้องและพยานหลักฐานในคดีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวด้วยการโอนอสังหาริมทรัพย์ย่อมอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ทั้งคู่ความก็ไม่ได้โต้แย้งกันในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ในชั้นนี้ก็ไม่ปรากฏเหตุว่าจะทำให้คู่ความและผู้เกี่ยวข้องกับคดีไม่ได้รับความสะดวก หรือทำให้การบริหารจัดการคดีของศาลชั้นต้นไม่เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้ย่อมไม่ตัดอำนาจของศาลชั้นต้นที่รับฟ้องคดีไว้แล้วในอันที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (2) ทั้งศาลฎีกาได้พิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมภายหลังไว้พิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดรวมกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ต่อไปแล้ว การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกเรื่องเขตอำนาจศาลมาพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยเหตุที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยสั่งค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับซึ่งไม่ชัดเจนว่าเป็นพับในชั้นไหนอย่างไร ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งใหม่ให้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้องชัดเจนต่อไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งใหม่เมื่อมีคำพิพากษา ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share