แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่คู่ความขอให้ศาลไปตรวจดูสภาพที่พิพาทแล้ววินิจฉัย+ โดยต่างไม่สืบพยานบุคคลต่อไปนั้น เป็นเรื่องสืบพยานธรรมดาโดยอ้างวัตถุพยาน คือที่พิพาทเป็นพยานร่วม มิใช่เป็น+ท้าของคู่ความ ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นไปดูสภาพของที่พิพาทแล้วเห็นอย่างไร ก็วินิจฉัยชี้ขาดได้ตามที่คู่ความเสนอไว้ได้ แต่ต้องทำเป็นคำพิพากษาให้ถูกต้องครบถ้วนตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 141 จะทำเป็นคำสั่งไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยบุกรุกที่ของโจทก์จึงขอให้ห้ามจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยได้รับใบเหยียบย่ำและปกครองตลอดมา ๒๐ ปีแล้ว แม้โจทก์ได้รับใบเหยียบย่ำ ก็ทับที่ดินจำเลย
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลไปดูที่พิพาท แล้วตัดสินชี้ขาดโดยไม่ต้องสืบพยานบุคคล ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์จำเลยมาสอบถาม โจทก์จำเลยต่างแถลงว่า ที่โจทก์ขอให้ศาลไปดูที่พิพาทนั้นชอบแล้ว อยากให้ศาลไปดูเขตกับลักษณะที่ดิน เมื่อศาลเห็นอย่างไร ก็ยอมปฏิบัติตามแล้ว ศาลชั้นต้นได้ไปดูที่พิพาทพร้อมด้วยคู่ความ ต่อมาจึงมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทยังเป็นที่ป่า แม้จำเลยจะอ้างว่าครอบครองมานาน ก็หาตกเป็นสิทธิที่จะใช้ยันโจทก์ ซึ่งมีใบเหยียบย่ำไม่ จึงให้จำเลยรื้อถอนขนำสิ่งปลูกสร้างกับห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่คู่ความขอให้ศาลไปดูสภาพของที่พิพาทแล้ววินิจฉัยชี้ขาด โดยต่ายไม่สืบพยานบุคคลต่อไป เป็นเรื่องสืบพยานธรรมดาโดยอ้างวัตถุพยาน คือที่พิพาทเป็นพยานร่วมนั่นเองมิใช่คำท้าของคู่ความดังที่ศาลอุทธรณ์กล่าว เมื่อศาลชั้นต้นเห็นสภาพของที่พิพาทเป็นอย่างไร ก็วินิจฉัยชี้ขาดได้ตามที่คู่ความเสนอไว้ แต่ที่ศาลชั้นต้นทำเป็นคำสั่งมิได้ทำเป็นคำพิพากษาให้ถูกต้องครบถ้วนตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๔๑ เป็นการไม่ชอบ
จึงพิพากษาแก้เพียงให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทใหม่