แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โรงเรือนที่มีผู้เช่าอยู่ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว ก็ไม่ยอมออกถึงต้องฟ้องศาลขับไล่ ก็ยังบิดพริ้วไม่ยอมออก แม้ในระหว่างที่หมดอายุสัญญาเช่าแล้ว ผู้ให้เช่าไม่ได้เก็บค่าเช่าอีกเลย ก็ยังไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตาม พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน มาตรา 8,9,10 ฉะนั้น จึงต้องเสียภาษี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า โจทก์จัดการให้นายฮ่วยเคี้ยวเช่าตึกแถวเลขที่ ๒๐๗ ของโจทก์ ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องขับไล่ คดีถึงที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาขับไล่นายฮ่วยเคี้ยว ในระหว่างบังคับคดี นายฮ่วยเคี้ยวมายื่นคำแถลงต่อศาลว่า นายฮ่วยเคี้ยวออกจากตึกเช่าไปแล้ว มีนายอำนวยยังขืนอยู่ในตึกนี้โดยอ้างว่านายฮ่วยเคี้ยวเป็นผู้เช่าตึกนี้จากโจทก์แทนนายอำนวย ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องขับไล่นายอำนวยอยู่ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ( ในปี พ.ศ.๒๔๙+ )
ครั้นถึงกำหนดยื่นประเมินภาษีโรงเรือน พ.ศ.๒๔๙๑ ซึ่งเป็นค่ารายปี พ.ศ.๒๔๙๐ จำเลยยื่นใบแจ้งรายกายตามพ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.๒๔๗๕ ต่อจำเลยว่าตึกหลังนี้ไม่มีการเช่าโดยบอกเลิกสัญญาเช่ากับผู้เช่าไปแล้วแต่จำเลยกลับประเมินค่ารายปีมายังโจทก์เป็นเงิน๑๘๐๐ บาทและเรียกเก็บภาษีโรงเรือน ๓๒๕ บาท โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ของจำเลย แต่ถูกยก โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน ๒๒๕ บาทแก่โจทก์ แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์จึงได้ฎีกาขึ้นมา
ศาลฎีกาได้มีมติในที่ประชุมใหญ่ว่า ตามพ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินมาตรา ๘,๙,๑๐ บัญญัติเป็นใจความว่า ให้พนักงานประเมินโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นเพื่อเก็บภาษีตามจำนวนเงิน ซึ่งสมควรจะให้เช่าได้ ยกเว้นแต่โรงเรือนซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือปิดไว้ หรือให้คนเฝ้า ฯลฯ จึงมิต้องเสียภาษี แต่ปรากฎว่าอาคารของโจทก์นี้มิได้ปิดไว้ หรือเจ้าของอยู่เอง ฯลฯ หากมีผู้เช่าอยู่ แต่ผู้เช่าบิดพลิ้วไม่ยอมออก และไม่ใช่เป็นเรื่องที่บุกรุกเข้ามา จึงไม่เข้าอยู่ให้ข้อยกเว้นดังกล่าว ฉะนั้นโจทก์จึงมิได้รับความยกเว้นในการเสียภาษีดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์
จึงพิพากษายืน