แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 3และที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเป็นเพียงคำพิพากษาที่บังคับให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขาย หาใช่ทำให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยที่ 3 และที่ 4 อยู่โจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทต่อเมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่เมื่อก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษานั้น ที่ดินพิพาทถูกเวนคืนตาม พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ กรณีจึงมีเหตุรอนสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเกิดขึ้นที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้ และตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 18 บัญญัติว่า เงินค่าทดแทนนั้นให้กำหนดแก่บุคคลดังต่อไปนี้(1) เจ้าของทรัพย์ผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งที่ดินที่ต้องเวนคืน ฯลฯ โจทก์ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับเงินค่าทดแทนดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1 และที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 57,407,667 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบต่อปีของต้นเงิน 32,404,182 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 3และที่ 4 ชำระแทนจนครบ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ถูกเวนคืนจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ราคาค่าทดแทนที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้กำหนดให้นั้นเป็นราคาที่เหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะเพิ่งฟ้องเมื่อทราบว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4รับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยที่ 1 เกิน 1 ปี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ผิดสัญญาจะซื้อขายโดยไม่ยอมยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 ต่อศาลชั้นต้นให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3551/2523 และศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 355,000 บาท หากจำเลยที่ 3 และที่ 4ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 3และที่ 4 คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวบังคับให้จำเลยที่ 3 และที่ 4ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขาย หาใช่ทำให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่ โจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทต่อเมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ปรากฏว่าปี 2524ที่ดินพิพาทถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน สายบางกอกน้อย-นครชัยศรี ฯลฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 4 กันยายน 2524 กรณีจึงมีเหตุรอนสิทธิที่ดินพิพาทเกิดขึ้นที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้ โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เท่านั้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงยังเป็นของจำเลยที่ 3 และที่ 4 อยู่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 18 บัญญัติว่า เงินค่าทดแทนนั้นให้กำหนดแก่บุคคลดังต่อไปนี้ (1) เจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งที่ดินที่ต้องเวนคืน ฯลฯ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับเงินค่าทดแทนตามบทบัญญัติมาตรา 18(1) ดังกล่าวข้างต้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีหน้าที่จ่ายค่าทดแทนให้แก่โจทก์ซึ่งไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่ถูกเวนคืนตามกฎหมาย ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จ่ายค่าทดแทนให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 และโจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้ว จึงชอบด้วยกฎหมายโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าทดแทนเพิ่มจากจำเลยที่ 1และที่ 2 อีก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน