คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คหาใช่ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสืออันจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วจึงจะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653บัญญัติไว้แต่อย่างใดจำเลยย่อมนำสืบด้วยพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วได้ ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยคำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยว่ามีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่โดยอ้างข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา653แล้วสรุปว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้เช็คพิพาทให้โจทก์เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทยสาขาถนนรางน้ำ จำนวนเงิน 60,000 บาท นำมาแลกเงินสดกับโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 61,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน60,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นการค้ำประกันการชำระหนี้ จำเลยนำเงินสดผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ไม่คืนเช็คให้ จึงแจ้งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 61,875 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน60,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามเช็คจำเลยย่อมนำสืบด้วยพยานบุคคลว่าได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วได้กรณีหาใช่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสืออันจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว จึงจะรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653บัญญัติไว้แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยคำเบิกความของจำเลยและนายสมพรพยานจำเลยว่ามีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่ โดยอ้างข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ดังกล่าวแล้วสรุปว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้เช็คพิพาทให้โจทก์ อันเป็นการไม่ยอมรับฟังคำพยานจำเลยโดยอาศัยข้อกฎหมาย ที่ไม่ตรงกับข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องเป็นข้อกฎหมายคนละเรื่องกัน จึงเป็นการรับฟังพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้เสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกปัญหาว่าจำเลยได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่นั้น จำเลยเบิกความยืนยันว่าจำเลยได้นำเงินไปชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว 3 ครั้ง ครั้งละ 20,000 บาท แต่โจทก์ไม่คืนเช็คพิพาทให้และมีนายสมพรเบิกความสนับสนุนว่าเห็นจำเลยนำเงินไปชำระแก่โจทก์ทั้งสามครั้ง เพราะร่วมไปกับจำเลยทุกครั้งโจทก์เองก็เบิกความเจือสมว่า หลังจากจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ จำเลยเคยนำเงินไปชำระให้โจทก์ 20,000 บาท แต่บ่ายเบี่ยงว่าการชำระเงิน 20,000 บาทดังกล่าวไม่เกี่ยวกับเช็คพิพาท แต่ก็มิได้กล่าวอ้างอธิบายให้ชัดเจนว่าเป็นการชำระหนี้ค่าอะไร พยานจำเลยย่อมมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยได้ชำระเงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์ครบถ้วนแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ตามคำฟ้องอีก ไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share