แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่มีชื่อร่วมกันในโฉนด เป็นแค่เพียงสันนิษฐานว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเท่า ๆ กัน เท่านั้น หาเป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดไม่ เมื่อได้ความว่าที่ดินครึ่งหนึ่งด้านทิศตะวันออกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้มีชื่อเป็นเจ้าของฝ่ายหนึ่ง เจ้าของอีกฝ่ายหนึ่งย่อมนำสืบว่าที่ดินอีกครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกรวมทั้งที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายที่นำสืบนั้นได้ ซึ่งเป็นการนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายเท่านั้น หาเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในโฉนดอย่างใดไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ยกที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ส่วนหนึ่งให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยชี้เขตให้จำเลยเป็นการแน่นอน และได้ให้จำเลยทั้งสองมีชื่อในโฉนดร่วมกับโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้บุกรุกที่ดินส่วนของโจทก์ และตัดฟันต้นไม้เก็บเอาผลไม้ในที่ดินของโจทก์ไป โจทก์ห้ามก็ไม่เชื่อฟัง โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินและใช้ค่าเสียหายจำเลยก็เพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลย
จำเลยทั้งสองสู้ว่า โจทก์ได้ขายที่ของโจทก์ให้จำเลยคนละกึ่งหนึ่ง แต่เพื่อเลี่ยงค่าธรรมเนียมจึงจดทะเบียนเป็นให้จำเลยได้ครอบครองมาโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่าสิบปีแล้วจึงได้กรรมสิทธิ์ จำเลยมิได้บุกรุก โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยตัดฟันกอไผ่ทำให้โจทก์เสียหาย ให้จำเลยจัดการแบ่งแยกที่ดินและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ ครึ่งหนึ่ง แล้วใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนดด้วย การที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑, ๒ มีชื่อร่วมกันในโฉนดเป็นแต่เพียงสันนิษฐานว่า โจทก์จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเท่า ๆ กัน เท่านั้น หาเป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดไม่ ได้ความว่าที่ดินครึ่งหนึ่งด้านทิศตะวันออกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์จึงนำสืบว่าที่ดินอีกครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกรวมทั้งที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้ ซึ่งเป็นการนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายเท่านั้น หาเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในโฉนดไม่ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองตลอดมาหาได้ขายให้แก่จำเลยที่ ๒ ไม่ ส่วนค่าเสียหายจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านจึงไม่วินิจฉัย
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย.