คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายนาพิพาทซึ่งมีเพียง ส.ค.1 ให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น เป็นการบังคับโดยเฉพาะเจาะจง และสภาพแห่งหนี้เปิดช่องที่จะบังคับได้ จำเลยจะเลือกชำระหนี้เป็น อย่างอื่นมิได้คำพิพากษานี้ย่อมมีผลให้ผู้ร้องได้รับสิทธิแห่งความเป็น เจ้าของนาพิพาทโดยทันที แม้การชำระราคาที่ค้างรวมทั้งการไถ่ถอนจำนองและการจดทะเบียนโอนขายนาพิพาทจะยังมิได้กระทำกัน โจทก์เพิ่ง ทำการยึดนาพิพาทภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีนั้น โจทก์ จะอ้างว่า ผู้ร้องและจำเลยเพียงแต่มีสัญญาจะซื้อขายต่อกันซึ่งผู้ร้องยังไม่มีสิทธิอะไรในนาพิพาทหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีนี้ เนื่องจากจำเลยยอมรับใช้เงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ 13,000 บาท ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความศาลได้พิพากษาตามยอมครบกำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงนำยึดที่ดิน

ผู้ร้องร้องว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามคดีแพ่งแดงที่ 236,237/2502 ของศาลจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยได้ขายที่ดินรายนี้ให้แก่ผู้ร้องแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึด

โจทก์ให้การว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยอยู่ตามคำพิพากษาของศาลจำเลยกู้และรับเงินของโจทก์ไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2498 ต่อมาวันที่25 กุมภาพันธ์ 2499 จำเลยนำนาพิพาทไปทำสัญญาจะซื้อขายให้กับผู้ร้องทำให้โจทก์เสียเปรียบ ผู้ร้องยังค้างชำระราคาอยู่ที่ดินยังคงเป็นของจำเลยขณะนำยึดจำเลยยังมิได้ทำการโอนขายให้แก่ผู้ร้องโดยเด็ดขาด

ในวันนัดสืบพยานผู้ร้อง คู่ความรับกันว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาทในคดีแพ่งแดงที่ 236,237/2502 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่า โจทก์ (ผู้ร้องคดีนี้) มิได้เป็นผู้ผิดสัญญาให้จำเลยรับเงินค่านาและไถ่ถอนการจำนองนาพิพาทจากสหกรณ์ แล้วโอนขายให้โจทก์ตามสัญญา เมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ๆ มีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยโอนนาพิพาทให้แก่ผู้ใด หลังจากศาลฎีกาพิพากษา ผู้ร้องในคดีนี้จึงชำระเงินค่าที่ดิน 8,150 บาท ที่ค้างต่อศาล เพื่อให้จำเลยรับไปไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยยังมิได้รับเงินไป ที่พิพาทยังไม่มีการโอนและยังไม่ได้ไถ่ถอนจำนอง ผู้ร้องครอบครองที่พิพาทตลอดมา

ส่วนประเด็นที่โจทก์อ้างทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเพราะโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาล จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2498 ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2499 จำเลยทำสัญญาจะซื้อขาย ให้ผู้ร้องนั้น ผู้ร้องรับว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหนังสือสัญญากู้ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2498 และสัญญาจะซื้อขายลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2499 จริง

ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน และนัดฟังคำพิพากษาวันรุ่งขึ้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิในที่พิพาทข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าเป็นการทำให้เจ้าหนี้ (โจทก์) เสียเปรียบให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้ร้องได้ไปซึ่งสิทธิความเป็นเจ้าของที่นาพิพาทแล้ว โดยผลแห่งคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 236,237/2502 นับแต่วันฟังคำพิพากษาฎีกาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2505 โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์รายพิพาท พิพากษากลับ ให้โจทก์ปล่อยทรัพย์รายพิพาท

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 236, 237/2502 ว่า สัญญาจะซื้อขายนาพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยยังมีผลให้บังคับกันได้อยู่ ให้จำเลยรับเงินราคานาพิพาทที่ค้างอยู่อีก8,150 บาท จากผู้ร้องและจัดการไถ่ถอนการจำนองนาพิพาทที่จำเลยทำไว้กับสหกรณ์ แล้วโอนขายให้ผู้ร้องตามสัญญา ซึ่งศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาผู้ร้องได้ครอบครองนาพิพาทมาตามสัญญาจะซื้อขาย ผู้ร้องได้นำเงิน 8,150 บาท มาวางศาล ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 236, 237/2502 ซึ่งให้จำเลยโอนขายนาพิพาทให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น เป็นการบังคับโดยเฉพาะเจาะจงและสภาพแห่งหนี้เปิดช่องที่จะบังคับได้ จำเลยจะเลือกชำระหนี้เป็นอย่างอื่นมิได้ ทั้งไม่อยู่ในบังคับแห่งเงื่อนเวลาที่ผู้ร้องจะยังบังคับไม่ได้อย่างใดนาพิพาทไม่มีโฉนด (มีแต่เพียง ส.ค.1) และผู้ร้องก็เป็นผู้ครอบครองอยู่ คำพิพากษานี้ย่อมมีผลให้ผู้ร้องได้สิทธิเป็นเจ้าของนาพิพาทโดยทันที แม้การชำระราคาที่ค้างรวมทั้งการไถ่ถอน จำนอง และการจดทะเบียน โอนขายนาพิพาทจะยังมิได้กระทำกันก็ตาม ก็หามีผลเปลี่ยนแปลงสิทธิของผู้ร้องเช่นนี้ประการใดไม่ โจทก์เพิ่งทำการยึดนาพิพาทภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 236,237/2502 คือ ภายหลังที่ผู้ร้องได้สิทธิดังกล่าวแล้วโจทก์จะอ้างว่าผู้ร้องและจำเลยเพียงแต่มีสัญญาจะซื้อขายต่อกันเท่านั้น ซึ่งผู้ร้องยังไม่มีสิทธิในนาพิพาทหาได้ไม่

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานหลักฐานของคู่กรณีในเรื่องที่โจทก์คัดค้านว่า การซื้อขายนาพิพาทระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบเสร็จแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share