คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 206/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยโดยตกลงกันว่า โจทก์ ยังครอบครองทำกินตลอดไป และโจทก์ยังครอบครองอยู่ โจทก์ไป ห้ามจำเลยมิให้ขายที่ดิน ขายแล้วโจทก์จะเอาอะไรกิน จำเลยว่า มีสิทธิขายได้ และด่าโจทก์ว่า ‘อีดอกทองอีแก่ อีหัวหงอก กูจะขาย มึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอาถือว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง
โจทก์ห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินเพราะโจทก์ไม่มีที่ทำกิน จำเลยก็ยืนยันจะขายจนเกิดเหตุรุนแรงขึ้นพอถือได้ว่า เป็นการบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถให้ได้โจทก์ขอเพิกถอนการให้ได้.โดยไม่ต้องรอให้จำเลยขายที่ดินไปเสียก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 113 ร่วมกับนางขวัญโจทก์จดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นหลาน โดยตกลงกันว่าโจทก์ยังครอบครองทำกินตลอดไป จำเลยได้แบ่งแยกและที่ดินถูกตัดถนน จำเลยขายไปบ้าง คงเหลือที่ดินเป็นโฉนดที่ 2958 เนื้อที่ 425 ตารางวา ซึ่งโจทก์ครอบครองอยู่ จำเลยจะขายที่ดินรายนี้ โจทก์ห้าม จำเลยและสามีได้ด่าหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง การขายที่ดินทำให้โจทก์ทำกินไม่ได้ตามปกติ เป็นการบอกปัดไม่ให้สิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิต เป็นการเนรคุณขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2958ให้โจทก์

จำเลยให้การว่าไม่เคยด่าโจทก์ โจทก์ไม่เคยยกที่ดินให้จำเลย โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยราคา 2,000 บาท แต่จดทะเบียนอำพรางเป็นให้

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2958 ให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยกที่ดินให้จำเลย จำเลยด่าโจทก์ว่า “อีดอกทอง อีแก่อีหัวหงอก กูจะขาย มึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอา” ฟังได้ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ได้ห้ามมิให้จำเลยขายที่ดิน เพราะโจทก์ไม่มีที่ทำกิน จำเลยก็ยืนยันจะขายจนเกิดเหตุรุนแรงขึ้น พอถือได้ว่าเป็นการบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้ และผู้รับยังสามารถให้ได้ โจทก์ขอเพิกถอนการให้ได้โดยไม่ต้องรอให้จำเลยขายที่ดินไปเสียก่อน

พิพากษายืน

Share