แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้เสียหายได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้จากเช็คตามฟ้องจากกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายอย่างเต็มจำนวน มิได้หมายความว่า ผู้เสียหายได้รับชำระหนี้ในเช็คตามฟ้องแล้ว จึงไม่อาจถือได้ว่าหนี้ตามเช็คได้ระงับและสิ้นผลผูกพันไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ คดีจึงยังไม่เลิกกัน ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ป.อ. มาตรา ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๓ หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งออกหมายจับจำเลยที่ ๓ และให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ชั่วคราว
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ แต่ต่อมาจำเลยที่ ๒ ขอถอนคำให้การเดิมและขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ประกอบ ป.อ. มาตรา ๘๓ ลงโทษจำคุก ๑ ปี จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๖ เดือน
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก ๑๐ เดือน จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๕ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่าเช็คตามฟ้องเป็นเช็คของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ กระทำในฐานะกรรมการของจำเลยที่ ๑ เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ เด็ดขาดและโจทก์ได้นำเช็คตามฟ้องไปยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เต็มตามจำนวนเงินในเช็คแล้ว มูลหนี้ตามเช็คย่อมระงับสิ้นไป ถือว่าหนี้ตามเช็คได้สิ้นผลผูกพัน คดีจึงเป็นอันเลิกกัน ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๗ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ นั้น เห็นว่า หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ การที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้จากเช็คตามฟ้องจากกองทรัพย์สินของผู้ล้มละลายอย่างเต็มจำนวน มิได้หมายความว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ในเช็คตามฟ้องแล้ว ฉะนั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าหนี้ตามเช็คที่โจทก์ฟ้องได้ระงับและสิ้นผลผูกพันไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ คดีนี้จึงยังไม่เลิกกันดังที่จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๒ สั่งจ่ายเงินในเช็คตามฟ้องเป็นจำนวนถึง ๑,๒๐๑,๖๔๑.๓๐ บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ มาเพียง ๕ เดือน นับว่าเป็นการลงโทษสถานเบาและเป็นคุณแก่จำเลยที่ ๒ มากแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้ชดใช้เงินแก่โจทก์เพื่อบรรเทาความเสียหายแม้เพียงบางส่วน พฤติการณ์จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒
พิพากษายืน