แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนทำร้ายผู้ตายโดยตรงแต่โจทก์มีพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับเหตุที่เกิดขึ้นอย่างมาก และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยมาได้ จำเลยก็ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวนโดยละเอียดว่าได้ทำร้ายและกระทำอนาจารผู้ตายจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้ายและจับผู้ตายคว่ำหน้ากดศีรษะลงไปในโคลน แล้วกระทำชำเราผู้ตายทางทวารหนักเป็นเหตุให้ดินโคลนเข้าไปในปาก ท่อทางเดินหายใจ และหลอดลมทำให้ผู้ตายขาดอากาศถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมเล็งเห็นอยู่แล้วว่าจะเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายและกระทำอนาจารเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำอนาจารกอดปล้ำทุบตีเด็กหญิงมุกดา หรือ ปู แซ่อุย อายุ 14 ปี แล้วจับตัวนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นดินซึ่งเป็นดินโคลน และเอาอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในช่องทวารหนักโดยจำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำของจำเลยอาจทำให้เด็กหญิงมุกดาหายใจไม่ออกและถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้เด็กหญิงมุกดาถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 278, 280 (2), 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288 และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 280 (2) เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 278, 280 (2) ซึ่งเป็นบทหนักโดยลงโทษประหารชีวิต จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 53ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…โจทก์มีประจักษ์พยานยืนยันอยู่ว่าก่อนที่จะพบศพผู้ตายประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ มีผู้เห็นจำเลยกับผู้ตายเดินออกจากบริเวณงานไปทางตลาดต่อจากนั้นก็มีผู้เห็นจำเลยกับผู้ตายนั่งอยู่ที่ร้านใต้ต้นยางอินเดียซึ่งอยู่ใกล้กับที่พบศพผู้ตาย ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นคือนายสอนผดุงเวียง นายสำรวย ก้อนเพชรและนายอ๊อดหรือประสิทธิ์กลิ่นนิรันดร์ โดยนายสอน ผดุงเวียง ซึ่งเป็นยามธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด สาขาบางสะพานใหญ่ เบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุนั้นเวลาประมาณ 4 นาฬิกา ขณะที่กำลังเดินตรวจอยู่ด้านหลังธนาคารเห็นจำเลยกับผู้ตายเดินออกจากบริเวณงานมุ่งหน้าไปทางตลาดโดยจำเลยกับผู้ตายเดินผ่านพยานไปในระยะประมาณ 3 เมตร นายสำรวย ก้อนเพชร พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นยามเฝ้าตลาดบางสะพานใหญ่ เบิกความว่า เมื่อเวลาประมาณ 4.45 นาฬิกา ได้เดินไปตีระฆังเห็นคน 2 คน นั่งอยู่ที่ร้านใต้ต้นยางอินเดีย ครั้นเมื่อตีระฆังเสร็จพยานเดินกลับมาก็ยังเห็นคนทั้งสองนั่งอยู่ที่เดิม จึงใช้ไฟฉายส่องดู ปรากฏว่าเป็นจำเลยกับผู้ตายซึ่งรู้จักมาก่อน จำเลยร้องห้ามว่าอย่าส่องไฟ พยานจึงดับไฟฉายแล้วเดินจากไป นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายอ๊อดหรือประสิทธิ์กลิ่นนิรันดร์ เบิกความยืนยันอีกว่าในคืนนั้นเวลาประมาณ 5 นาฬิกา พยานออกจากบริเวณงานจะกลับบ้าน เมื่อเดินผ่านต้นยางอินเดียบริเวณตลาดบางสะพาน พยานเดินเข้าไปที่ต้นยางอินเดียเพื่อจะถ่ายปัสสาวะได้ใช้ไฟฉายส่องดูเห็นจำเลยกับผู้ตายนั่งอยู่ที่ร้านใต้ต้นยางอินเดีย พยานได้ถามจำเลยว่านั่งทำอะไรกันจำเลยตอบว่านั่งคุยกับแฟน พยานโจทก์ทั้ง 3 ปากนี้รู้จักจำเลยกับผู้ตายมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะจำตัวผิดพลาด หรือแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยแต่อย่างใด แม้โจทก์จะไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนทำร้ายผู้ตายโดยตรง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยมาได้ จำเลยก็ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและสอบสวนว่าได้กระทำร้ายและกระทำอนาจารต่อผู้ตายจริง ดังปรากฏตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.1 และ จ.4 ตามลำดับ นอกจากนั้นจำเลยยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถ่ายภาพไว้โดยละเอียด ดังปรากฏตามบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายหมาย จ.7 รวม 26 ภาพ โดยเฉพาะตามคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.4 นั้น จำเลยได้ให้การถึงรายละเอียดแห่งการกระทำความผิดไว้ว่าในคืนเกิดเหตุนั้นพบผู้ตายในบริเวณงานคัดเลือกทหาร ได้ชวนผู้ตายไปร่วมประเวณีโดยจะให้เงินแก่ผู้ตาย ผู้ตายตกลง จึงได้พากันมานั่งใต้ต้นยางอินเดียใกล้ที่พบศพผู้ตายได้กอดจูบผู้ตายและขอร่วมประเวณี แต่จำเลยเห็นว่าอวัยวะเพศของผู้ตายเล็กเกรงว่าจะไม่สำเร็จ จึงขอร่วมประเวณีทางทวารหนัก แต่ผู้ตายไม่ยอม จำเลยจึงทุบหน้าอกและที่ท้องผู้ตาย 2-3 ที จนผู้ตายแน่นิ่งไป จึงได้กดศีรษะผู้ตายลงไปในน้ำครำ แล้วเอาอวัยวะเพศใส่ในทวารหนักของผู้ตาย ขณะที่กระทำการอยู่นั้นได้ยินเสียงคนเดินมาจำเลยจึงวิ่งหนีไปโดยไปล้างมือและเสื้อผ้าที่คลองวังกะจอง ตามคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนดังกล่าวประกอบกับคำของนายสอน ผดุงเวียง นายสำรวย ก้อนเพชร และนายอ๊อดหรือประสิทธิ กลิ่นนิรันดร์ พยานโจทก์ที่ยกขึ้นกล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งเป็นพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับกรณีที่เกิดขึ้นอย่างมาก คดีฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้ายและจับผู้ตายคว่ำหน้ากดศีรษะลงไปในโคลน แล้วกระทำชำเราผู้ตายทางทวารหนัก เป็นเหตุให้ดินโคลนเข้าไปในปาก ท่อทางเดินหายใจและหลอดลม ทำให้ผู้ตายขาดอากาศถึงแก่ความตาย ซึ่งการกระทำของจำเลยเช่นนี้ จำเลยย่อมเล็งเห็นอยู่แล้วว่าจะเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตายที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายและกระทำอนาจารเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน’.