คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้รับไถ่ถอนจำนองเนื่องจากได้ชำระต้นเงินให้โจทก์แล้วบางส่วน มีเอกสารใบรับเงินเป็นหลักฐาน ศาลพิพากษาให้โจทก์รับไถ่ถอนจำนองตามจำนวนเงินที่ค้าง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยทางอาญาหาว่าปลอมและใช้เอกสารใบรับเงินในคดีก่อนปลอมศาลพิพากษาลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยทางแพ่งหาว่าใช้เอกสารปลอม เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขาดสิทธิเรียกร้องต้นเงินตามจำนวนในเอกสารรับเงินปลอมนั้นได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะคดีก่อนพิพาทกันในเรื่องการไถ่ถอนจำนอง ไม่มีประเด็นในเรื่องละเมิดแต่อย่างใด ทั้งคดีก่อนศาลก็ไม่ให้โจทก์นำสืบแก้ไขเอกสารว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 27 เมษายน 2497 จำเลยทั้งสองจำนองที่ดินโฉนด 2232 ไว้กับโจทก์เป็นเงิน 29,000 บาท ต่อมา 24 มีนาคม 2500โจทก์ได้รับดอกเบี้ยประจำปี 2500 เป็นเงิน 4,300 บาท จึงลงลายพิมพ์นิ้วมือในใบรับเงินให้จำเลยที่ 1 ไว้ จำเลยที่ 1 กับบุตรสมคบกันเติมข้อความเท็จลงในใบรับเงินว่า “ได้รับต้นเงิน 27,000 บาทถูกต้องแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้พิมพ์มือไว้เป็นสำคัญให้ท่านยึดถือ” แล้วจำเลยทั้งสองยื่นฟ้องโจทก์เมื่อ 21 เมษายน 2501 ว่า จำเลยได้ชำระต้นเงินให้โจทก์แล้ว 27,000 บาท คงเหลืออีก 2,000 บาท ขอให้โจทก์รับไถ่ถอนจำนอง เป็นเหตุให้ศาลเชื่อและพิพากษาให้โจทก์รับเงิน2,000 บาท และรับไถ่ถอนจำนอง ตามคดีแพ่งแดงที่ 129/2501โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองกับบุตรเมื่อ 19 มิถุนายน 2501 เป็นคดีอาญาว่าสมคบกันปลอมหนังสือและใช้หนังสือปลอม คดีถึงที่สุด ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และบุตรทำผิดตามฟ้อง ตามคดีอาญาแดงที่ 699/2502การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คือ (ก) ขาดสิทธิเรียกร้องเงินต้น 27,000 บาทตามสัญญาจำนอง และขาดสิทธิจะได้รับดอกเบี้ย 3 ปี 4 เดือน เป็นเงิน10,050 บาท (ข) เสียค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมค่าทนายในการต่อสู้คดีแพ่งแดงที่ 129/2501 และดำเนินคดีอาญาแดงที่ 699/2502รวมเป็นเงิน 4,000 บาท จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า ไม่ได้สมคบกับบุตรเติมข้อความเท็จในใบรับเงินดังฟ้อง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้เอกสารดังกล่าวแต่ผู้เดียว ศาลพิพากษาในคดีอาญาแดงที่ 699/2502 ว่าจำเลยที่ 2 มิได้สมคบด้วย จำเลยที่ 2มิได้กระทำผิดอาญาเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานละเมิดได้ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้ศาลจะพิพากษาว่าทำผิดกฎหมายก็ยังไม่เป็นละเมิด เพราะโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องเช่นกัน ค่าเสียหายมากเกินควร ฟ้องเคลือบคลุมขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

เรื่องเดิมมีว่า จำเลยทั้งสองได้เป็นโจทก์ฟ้องนางมูลโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้รับไถ่ถอนจำนองเนื่องจากได้ชำระต้นเงินให้นางมูลรับไปแล้ว 27,000 บาท ปรากฏตามเอกสารใบรับเงินลงวันที่ 24มีนาคม 2500 คงค้างต้นเงินและดอกเบี้ยอีก 2,300 บาท ขอให้รับไถ่ถอนการจำนอง ปรากฏตามคดีแพ่งแดงที่ 129/2501 ก่อนคดีถึงที่สุดนางมูลได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองกับบุตรหาว่าสมคบปลอมและใช้หนังสือปลอม ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ปรากฏตามคดีอาญาแดงที่ 699/2502 ภายหลังคดีอาญาถึงที่สุดชั้นอุทธรณ์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษาคดีแพ่งให้นางมูลโจทก์รับไถ่ถอนจำนองดังกล่าว ระหว่างบังคับคดีแพ่ง นางมูลจึงเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้

ในชั้นพิจารณา จำเลยแถลงรับในจำนวนเงินค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องทุกประการและทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสำนวนคดีแพ่งเลขแดงที่ 129/2501สำนวนคดีอาญาเลขแดงที่ 699/2502 พร้อมทั้งเอกสารในสำนวนดังกล่าวและต่างไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นวินิจฉัย 2 ข้อ (1) โจทก์ฟ้องซ้ำหรือไม่(2) จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้โจทก์หรือไม่แล้ววินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำ และเรียกค่าเสียหายไม่ได้ ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลได้พิพากษาคดีอาญาแดงที่ 699/2502 ว่าจำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารใบรับเงินและนำมาใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่งที่ขอไถ่ถอนจำนอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ ๆ จึงมีสิทธิฟ้องประเด็นเรื่องละเมิดได้ เพราะยังไม่เคยวินิจฉัยชี้ขาด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิด สำหรับค่าเสียหายจำเลยแถลงรับตามฟ้องโจทก์ จึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย ถือได้ว่าโจทก์เสียหายจริงตามฟ้อง พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยที่ 1 ผู้เดียวฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีแพ่งแดงที่ 129/2501 ที่นายเคลิ้มจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ให้รับไถ่ถอนจำนองนั้น เป็นคดีพิพาทกันในเรื่องไถ่ถอนจำนอง ไม่มีประเด็นในเรื่องละเมิดแต่อย่างใดเลยศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อกฎหมายที่ว่านายเคลิ้มมีเอกสารใบรับเงินที่นางมูลทำให้ไว้เป็นหลักฐานว่าได้ชำระต้นเงินจำนองแล้วนางมูลจะขอสืบว่าแท้จริงตนยังไม่ได้รับชำระหนี้หาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ซึ่งข้อวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวหาได้กล่าวถึงเรื่องละเมิดแต่อย่างใดไม่ ต่อมานางมูลฟ้องนายเคลิ้มเป็นคดีอาญาฐานปลอมเอกสาร คือ อาญาแดงที่ 699/2502ศาลได้ชี้ขาดในคดีอาญาดังกล่าวว่าเอกสารใบรับเงินที่นายเคลิ้มนำมาอ้างในคดีแพ่งที่ขอให้ศาลบังคับนางมูลให้รับการไถ่ถอนจำนองเป็นเอกสารปลอม และได้พิพากษาลงโทษจำคุกนายเคลิ้ม คดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้โดยอ้างมูลละเมิดและเรียกค่าเสียหาย จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์มีอำนาจฟ้องได้ ส่วนค่าเสียหายจำเลยแถลงรับแล้ว จึงต้องเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

Share