คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7998/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกในสาธารณรัฐคอสตาริการ่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำในการนำโคคาอีนเข้ามาในประเทศไทย โดยส่งพัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์อันเป็นการกระทำในขั้นตอนสุดท้ายแล้วก็ตาม แต่โคคาอีนดังกล่าวถูกตรวจยึดไว้ได้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน ผลจากการกระทำของจำเลยกับพวกถือว่าสิ้นสุดลงแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสำเร็จสมบูรณ์ในประเทศไทยตามเจตนาของจำเลยกับพวก กรณีเป็นการลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล จึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 80 เท่านั้น การที่ต่อมามีการนำโคคาอีนจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาในประเทศไทยเป็นเรื่องภายหลังที่พบการกระทำผิดและตรวจยึดโคคาอีนดังกล่าวได้แล้ว จึงมีการร่วมมือกันระหว่างทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศฝ่ายประเทศสหรัฐอเมริกาและฝ่ายประเทศไทยเพื่อสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้ร่วมกระทำผิดที่อยู่ในประเทศไทยต่อไป ไม่ได้เป็นผลลำพังจากการกระทำของจำเลยกับพวก เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังกล่าวการกระทำในส่วนนี้เป็นเพียงพยายามกระทำความผิดเท่านั้น แต่ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ที่โจทก์ฟ้องขอมาด้วยบัญญัติว่า “ผู้ใดพยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ” จึงเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว สำหรับฐานร่วมกันพยายามนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันมีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงต้องลงโทษบทหนักฐานร่วมกันพยายามนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายตาม ป.อ. มาตรา 90 ส่วนที่จำเลยขอให้ยกฟ้องมาในคำแก้ฎีกานั้นไม่อาจทำได้โดยไม่ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกาแล้วได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา จึงวินิจฉัยให้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 16, 17, 68, 69, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5, 32, 33, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 5, 7, 8, 14 ริบโคคาอีนและของกลางอื่นทั้งหมด นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1245/2554 ของศาลอาญากรุงเทพใต้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 17 วรรคสอง, 68 วรรคสอง, 69 วรรคสามตอนท้าย, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 5, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง (1), 8 วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ซึ่งจำเลยได้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันนั้นต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น จึงให้ลงโทษในความผิดฐานสมคบกันนำเข้าโคคาอีน จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,100,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 1,400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ทั้งนี้ให้กักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 2 ปี ริบโคคาอีนและของกลางอื่นทั้งหมด ให้นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1245/2554 ของศาลอาญากรุงเทพใต้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 17 วรรคสอง, 68 วรรคสอง, 69 วรรคสามตอนท้าย ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง (1), 8 วรรคสอง ความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฐานร่วมกันมีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันพยายามนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 ปี และปรับ 500,000 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี และปรับ 333,333.33 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า ระหว่างเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 08 6341 xxxx และเป็นหลานสาวของนางวรรณา ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร โดยบ้านจำเลยอยู่ห่างไปประมาณ 3 ถึง 4 หลังคาเรือน ต่อมาจำเลยไปพักอาศัยกับพี่สาวที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วย้ายมาทำงานที่ย่านถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ไม่เคยติดต่อกับนางวรรณามานานประมาณ 7 ถึง 8 ปี ก่อนเกิดเหตุ ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2554 จำเลยกลับมาที่จังหวัดกำแพงเพชรเพราะทราบว่ามารดาเสียชีวิต จึงไปพบนางวรรณาพูดคุยและขอชื่อที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของนางวรรณา พัสดุภัณฑ์ไปรษณีย์ระหว่างประเทศ หมายเลข อีอี 036436305 ซีอาร์ 1 กล่อง บรรจุแท่งมาสคาร่า (เครื่องสำอางแต่งหน้า) 88 แท่ง ซึ่งมีโคคาอีนซ่อนอยู่ในแท่งมาสคาร่า โคคาอีนมีน้ำหนักสุทธิ 533.280 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 301.783 กรัม ส่งมาจากสาธารณรัฐคอสตาริกา ผ่านประเทศสหรัฐอเมริกามายังประเทศไทย ที่กล่องพัสดุภัณฑ์ระบุชื่อที่อยู่ของนางวรรณาเป็นผู้รับ และระบุหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยไว้ แต่เจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดประเทศสหรัฐอเมริกาตรวจพบกล่องพัสดุภัณฑ์ดังกล่าวจึงยึดไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้น มีการประสานมายังเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดประเทศไทย และดำเนินการตามขั้นตอนราชการเพื่อขออนุมัติและได้รับอนุมัติให้นำพัสดุภัณฑ์ที่บรรจุโคคาอีนดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยเพื่อทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลจับกุมผู้สมคบร่วมกระทำความผิดซึ่งเป็นผู้รับพัสดุปลายทางในประเทศไทย จนกระทั่งเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลขดังกล่าวและเป็นผู้สมคบร่วมกระทำความผิด โดยนางวรรณาไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยเพียงถูกอ้างใช้ชื่อที่อยู่ส่งพัสดุภัณฑ์ถึงเท่านั้น จึงฟังได้ว่าจำเลยสมคบกับพวกที่อยู่ในสาธารณรัฐคอสตาริกากระทำความผิดฐานร่วมกันมีโคคาอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนการส่งโคคาอีนโดยพัสดุภัณฑ์จากสาธารณรัฐคอสตาริกาผ่านประเทศสหรัฐอเมริกามายังผู้รับในประเทศไทยนั้น เป็นปัญหาให้ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายสำเร็จแล้ว หรือเป็นเพียงพยายามกระทำความผิด ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวสำเร็จแล้วจึงต้องรับโทษฐานร่วมกันนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย นั้น เห็นว่า แม้ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกในสาธารณรัฐคอสตาริการ่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำในการนำโคคาอีนเข้ามาในประเทศไทย โดยส่งพัสดุภัณฑ์ทางไปรษณีย์อันเป็นการกระทำในขั้นตอนสุดท้ายแล้วก็ตาม แต่โคคาอีนดังกล่าวถูกตรวจยึดไว้ได้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน ผลจากการกระทำของจำเลยกับพวกถือว่าสิ้นสุดลงแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสำเร็จสมบูรณ์ในประเทศไทยตามเจตนาของจำเลยกับพวก กรณีเป็นการลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล จึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 เท่านั้น การที่ต่อมามีการนำโคคาอีนจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาในประเทศไทยเป็นเรื่องภายหลังที่พบการกระทำผิดและตรวจยึดโคคาอีนดังกล่าวได้แล้ว จึงมีการร่วมมือกันระหว่างทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ ฝ่ายประเทศสหรัฐอเมริกาและฝ่ายประเทศไทยเพื่อสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้ร่วมกระทำผิดที่อยู่ในประเทศไทยต่อไป ไม่ได้เป็นผลลำพังจากการกระทำของจำเลยกับพวก เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังกล่าวการกระทำในส่วนนี้เป็นเพียงพยายามกระทำความผิดเท่านั้น แต่ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ที่โจทก์ฟ้องขอมาด้วยบัญญัติว่า “ผู้ใดพยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ” จึงเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว สำหรับฐานร่วมกันพยายามนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันมีโคคาอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงต้องลงโทษบทหนักฐานร่วมกันพยายามนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ส่วนที่จำเลยขอให้ยกฟ้องมาในคำแก้ฎีกานั้นไม่อาจทำได้โดยไม่ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาพร้อมฎีกาแล้วได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา จึงวินิจฉัยให้ไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามนำโคคาอีนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ซึ่งต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share