แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทและครอบครองตลอดมาโจทก์ขอรังวัดออกโฉนดทั้งแปลง เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่ารังวัดล้ำที่ดินจำเลยไม่ออกโฉนดให้โจทก์ จำเลยทอดทิ้งไม่เคยทำประโยชน์พิพาท โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองที่ดินของจำเลย แม้ฟ้องโจทก์จะอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินของจำเลยจนได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 และ 1375 แล้วก็ตามแต่ฟ้องโจทก์ไม่ได้ความว่าจำเลยได้โต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิครอบครองของโจทก์ดังกล่าวอย่างใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยซื้อมาจากนางประจวบ นางประจวบชี้เขตที่ดินให้โจทก์ปักหลักเขตและทำรั้วเป็นส่วนสัดเกินกว่าจำนวนเนื้อที่ดังกล่าวโดยมีเนื้อที่ทั้งหมด 10 ไร่ 3 งาน98 7/10 ตารางวา โจทก์จึงเป็นผู้ซื้อที่ดินจำนวนทั้งหมดดังกล่าวโจทก์ครอบครองที่ดินที่ซื้อมาโดยตลอด ต่อมาโจทก์ขอรังวัดออกโฉนดที่ดินทั้งแปลงเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการให้แล้วและนัดหมายโจทก์ให้ไปรับโฉนด โจทก์จึงไปขอรับโฉนด แต่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่าการขอรังวัดดังกล่าวล้ำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลย พนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่ออกโฉนดให้โจทก์ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์และยึดถือที่ดินทั้งแปลงเพื่อตนมาเป็นเวลา 18 ปีแล้วส่วนจำเลยทอดทิ้งไม่เคยเข้าทำประโยชน์ โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองที่ดินของจำเลยจำนวนเนื้อที่ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374 และมาตรา 1375 ขอให้พิพากษาว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินของจำเลยเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 98 ตารางวา ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินจำนวนเนื้อที่ดังกล่าวแก่โจทก์ ถ้าจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 254 แก่โจทก์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อแบ่งแยกที่ดินของจำเลยให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ยอมส่งมอบก็ให้ทำลายหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเสีย แล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับใหม่และแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินเพียง 6 ไร่2 งาน ที่ดินส่วนที่เกินจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์นั้น จำเลยยังครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนมาถึงปัจจุบัน การที่โจทก์ขอออกโฉนดและได้รังวัดล้ำที่ดินของจำเลยนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ทำลายเอกสารสิทธิของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 1,000 บาท และค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 500 บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินของจำเลยจนได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 และ 1375 แล้วก็ตาม แต่ฟ้องโจทก์ก็ไม่ได้ความว่าจำเลยได้โต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิครอบครองของโจทก์ดังกล่าวแต่อย่างใด อันจะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246, 247 จึงต้องยกฟ้องโจทก์โดยไม่จำต้องพิจารณาฎีกาของโจทก์ต่อไป
พิพากษายืน