แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญา แต่โจทก์ไม่เอาใจใส่ในการดำเนินกระบวนพิจารณา มีลักษณะเป็นการประวิงคดีทำให้จำเลยทั้งสามได้รับความเดือดร้อน ทั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล่าช้าได้รับการตำหนิจากสังคมส่วนรวม จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 181 และข้อที่โจทก์อ้างว่า ทนายโจทก์พลั้งเผลอจดเวลานัดของศาลในวันที่ 26 เมษายน 2539ผิดพลาดจากเวลา 9.00 นาฬิกา เป็นเวลา 13.30 นาฬิกาและทนายโจทก์ได้มาศาลในเวลา 13.30 นาฬิกา เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องแจ้งเหตุดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นในวันนั้นและคดีไม่มีเหตุสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของโจทก์เสีย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 268, 83, 90, 91ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2537 จนกระทั่งวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2539โจทก์สืบพยานได้ทั้งหมดรวม 2 ปาก แล้วศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 26 เมษายน 2539 เวลา 9 นาฬิกาครั้นถึงวันเวลาดังกล่าว ทนายจำเลยมาศาล แต่ฝ่ายโจทก์ไม่มีผู้ใดมาศาล ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้ยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคแรก ประกอบมาตรา 181
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ หรือสืบพยานโจทก์ต่อไป ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่มีเหตุสมควรมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2537 จนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่26 เมษายน 2539 เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว เพิ่งสืบพยานโจทก์ไปได้เพียง 2 ปาก โดยโจทก์เป็นฝ่ายขอเลื่อนคดีถึง 6 ครั้งซึ่งในครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2539 ศาลชั้นต้นได้กำชับโจทก์ว่าจะไม่ให้เลื่อนคดีอีก แต่เมื่อถึงวันนัดทนายโจทก์ก็ขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าพยานติดธุระสำคัญ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ยังให้โอกาสโจทก์โดยอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์วันที่ 19 กุมภาพันธ์2539 ถึงวันนัดโจทก์นำพยานปากสั้น ๆ มาสืบเพียงปากเดียวก็ขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 26 เมษายน 2539 เวลา 9 นาฬิกา โดยทนายโจทก์ได้ลงชื่อทราบวันนัดไปแล้ว แต่เมื่อถึงวันนัดฝ่ายโจทก์กลับไม่มีผู้ใดมาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดีดังนี้ จะเห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญา แต่โจทก์ไม่เอาใจใส่ในการดำเนินกระบวนพิจารณา มีลักษณะเป็นการประวิงคดีทำให้จำเลยทั้งสามได้รับความเดือดร้อน ทั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล่าช้าได้รับการตำหนิจากสังคมส่วนรวม ที่โจทก์อ้างว่าทนายโจทก์พลั้งเผลอจดเวลานัดของศาลในวันที่ 26 เมษายน 2539 เป็นเวลา 13.30 นาฬิกาและทนายโจทก์ได้มาศาลในเวลา 13.30 นาฬิกา ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องแจ้งเหตุดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นในวันนั้นเพิ่งจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2539จึงไม่น่าเชื่อถือ และไม่มีเหตุสมควรที่จะยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
พิพากษายืน