คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7979/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายให้โจทก์ 136,000 บาท และคืนเงินค่ามัดจำอีก 81,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 217,000 บาท และให้โจทก์รับผิดชำระเงินให้จำเลย 122,820 บาท เมื่อหักกลบแล้วให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ 94,180 บาท ซึ่งในส่วนค่ามัดจำจำนวน 81,000 บาท จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงถือว่าเรื่องเงินค่ามัดจำดังกล่าวได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องค่าเสียหาย 136,000 บาท และค่ามัดจำอีก 81,000 บาท รวมเป็น 217,000 บาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองในเรื่องค่ามัดจำดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่อาจรับไว้วินิจฉัยได้ ฉะนั้นทุนที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงเป็นเงินเพียง 136,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
แม้ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า โจทก์ได้แจ้งข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ แต่ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าเสื้อแจกเกตที่โจทก์ว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองตัดเย็บนั้นเพื่อจะนำไปขายให้แก่บริษัท บ. พร้อมทั้งระบุข้อตกลงเกี่ยวกับค่าเสียหายอันเกิดจากการส่งมอบสินค้ามีตำหนิหรือไม่ถูกต้องตามแบบ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยคาดเห็นหรือควรจะได้ความเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 วรรคสอง ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษให้จำเลยทั้งสองชดใช้แก่โจทก์ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากคำฟ้อง

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณากับคดีหมายเลขดำที่ 22094/2539 ของศาลชั้นต้น แต่คู่ความคดีดังกล่าวไม่ได้ฎีกา คดีจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 303,878.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 297,940 บาท จากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 142,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 มีนาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 94,180 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 มีนาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ตามสำนวนแรกเป็นค่าเสียหาย 136,000 บาท เมื่อรวมกับค่ามัดจำที่ต้องคืน 81,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์แล้วรวมเป็นเงิน 217,000 บาท ส่วนโจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองตามฟ้องสำนวนหลังเป็นเงิน 122,820 บาท หักกลบแล้วจำเลยทั้งสองคงรับผิดต่อโจทก์ 94,180 บาท ศาลฎีกาเห็นว่า ค่ามัดจำเป็นเงิน 81,000 บาท จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกทั้งตามอุทธรณ์จำเลยทั้งสองยังยอมให้หักค่ามัดจำออกจากเงินที่โจทก์จะต้องชำระ เงินค่ามัดจำดังกล่าวจึงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ชั้นฎีกา จำเลยทั้งสองฎีกาเฉพาะสำนวนแรกขอให้ยกฟ้อง ค่าเสียหาย 136,000 บาท และค่ามัดจำ 81,000 บาท รวมเป็นเงิน 217,000 บาท เรื่องอื่นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยทั้งสองเรื่องค่ามัดจำ 81,000 บาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงเป็นเงิน 136,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
แม้ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า โจทก์ได้แจ้งข้อตกลงเรื่องค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าเสื้อแจกเกตที่โจทก์ว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองตัดเย็บนั้น เพื่อโจทก์นำไปขายให้แก่บริษัทบ้านปู จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งระบุข้อตกลงเกี่ยวกับค่าเสียหายอันเกิดจากการส่งมอบสินค้ามีตำหนิหรือไม่ถูกต้องตามแบบ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 222 วรรคสอง เช่นนี้การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษให้จำเลยทั้งสองชดใช้แก่โจทก์ จึงหาเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากคำฟ้องดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนทุนทรัพย์ 81,000 บาท ที่ไม่รับวินิจฉัยแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share