คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7978/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 นำทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสไปจำนองแก่ธนาคารจำเลยที่ 2 โดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ ซึ่งเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการฝ่าฝืนต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1476 (1) แต่จำเลยที่ 2 กลับรับจำนองไว้ โดยอ้างว่า ว. ซึ่งเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมแล้ว ย่อมถือได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำนิติกรรมจำนองโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง
บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดแบ่งทรัพย์สินที่ให้จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทนั้นเป็นสัญญาระหว่างสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469 เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแก่จำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 1469 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขอหย่าและขอแบ่งสินสมรส และศาลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว อันเป็นการใช้สิทธิบอกล้างในขณะที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ยังเป็นสามีภริยากัน ดังนั้น เมื่อโจทก์บอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว ย่อมทำให้สัญญาดังกล่าวสิ้นความผูกพัน ทำให้ทรัพย์สินกลับเป็นสินสมรสดังเดิม และเมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาใหม่ภายในกำหนดระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง จึงต้องถือว่าขณะฟ้องคดีนี้ข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดแบ่งทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้สิ้นผลแล้ว ทรัพย์พิพาทจึงเป็นสินสมรสอยู่ขณะฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้
การขอให้เพิกถอนนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 คู่สมรสต้องขอเพิกถอนนิติกรรมทั้งหมด จะเพิกถอนเฉพาะส่วนหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 256 แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสามเพ็ง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ 15 มิถุนายน 2536 ระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสอง ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาจำนองที่ดิน โฉนดเลขที่ 256 แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสามเพ็ง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างฉบับลงวันที่ 15 มิถุนายน 2536 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีภริยากัน ต่อมาคนทั้งสองแยกกันอยู่แต่มิได้จดทะเบียนหย่า แล้วจำเลยที่ 1 ได้นางวิพรเป็นภริยาใหม่ ครั้นวันที่ 15 มิถุนายน 2536 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองทรัพย์ดังกล่าวเป็นประกันหนี้เงินกู้ จำนวน 8,000,000 บาท ไว้แก่จำเลยที่ 2 ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 นำทรัพย์พิพาทตามฟ้องซึ่งเป็นสินสมรสไปจำนองไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ซึ่งเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 อันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1476 (1) แต่จำเลยที่ 2 กลับรับจำนองไว้ โดยอ้างว่านางวิพรซึ่งเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมแล้ว ย่อมถือได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำนิติกรรมจำนองดังกล่าวโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมจำนองดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ส่วนกรณีบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดแบ่งทรัพย์สินในตระกูล โอตรวรรณะ ที่ให้จำเลยที่ 1 นั้น มีลักษณะเป็นสัญญาระหว่างสมรสที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469 เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า โจทก์ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแก่จำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นขอหย่าและแบ่งสินสมรสตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 773/2537 และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำให้การแก้คดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 แล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2537 โดยจำเลยทั้งสองเข้าต่อสู้คดีแล้ว แต่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเป็นคดีครอบครัวไม่อยู่ในอำนาจของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ที่จะพิจารณาพิพากษา ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว ย่อมมีผลให้บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างสมรสนั้นสิ้นความผูกพัน ทำให้ทรัพย์พิพาทกลับเป็นสินสมรสดังเดิม ดังนั้นเมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาใหม่ภายในกำหนดระยะเวลา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง ต้องถือว่าขณะฟ้องคดีนี้ข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดแบ่งทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างสมรสได้สิ้นผลแล้ว ทรัพย์พิพาทตามฟ้องจึงเป็นสินสมรสอยู่ขณะฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า นิติกรรมจำนองยังคงสมบูรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า การขอให้เพิกถอนนิติกรรมตามมาตรา 1480 คู่สมรสต้องขอเพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดจะเพิกถอนเฉพาะส่วนหาได้ไม่ คำแก้ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์

Share