คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7975/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และเด็กชาย ศ. บุตรโจทก์ไปซื้อสินค้าในห้างของจำเลยที่ 1 ด้วยกัน ขณะที่โจทก์และ ศ. เดินกลับจากการซื้อสินค้ามายังบริเวณที่จอดรถ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้เข้ามาแจ้งต่อโจทก์ว่า ศ. ลักสินค้าในห้างของจำเลยที่ 1 และขอตรวจค้นตัว ศ. แต่เมื่อโจทก์ให้ ศ. ล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาไม่พบสินค้าที่อ้างว่าถูกลักมา จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงกลับไป โจทก์เป็นบิดา ศ. ซึ่งขณะเกิดเหตุอายุ 9 ปี จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู ขณะเลี้ยงดู ศ. ตามกฎหมายและให้การศึกษาตามสมควร ตลอดจนให้การอบรมสั่งสอนให้เป็นพลเมืองดีของสังคม เหตุที่ ศ. ถูกกล่าวหาว่าลักทรัพย์ในห้างของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นขณะที่ ศ. เดินซื้อสินค้าอยู่กับโจทก์ การควบคุมดูแล ศ. มิให้ลักทรัพย์ในห้างของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นบิดาด้วย นอกจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะพูดกล่าวหา ศ. แล้ว ยังขอค้นตัว ศ. อีก ความเสียหายจึงมิใช่เกิดจากคำพูดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่กล่าวหา ศ. เพียงประการเดียว แต่กระทบถึงโจทก์ซึ่งเป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองอยู่ในขณะนั้นด้วย เพราะบุคคลทั่วไปที่ได้ยินคำพูดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมเข้าใจว่าบุตรโจทก์ชอบลักเล็กขโมยน้อย อันแสดงว่าโจทก์ไม่ดูแลสั่งสอนบุตรให้เป็นพลเมืองดี หรืออาจเข้าใจได้ว่าโจทก์สนับสนุนบุตรให้ลักเล็กขโมยน้อย ซึ่งโจทก์ย่อมได้รับความอับอายและเสียชื่อเสียง โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียจากการกล่าวหาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เช่นกัน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันลงโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ขนาด 1 หน้าหนังสือพิมพ์เป็นเวลา 1 เดือน
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นต้องวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ โจทก์และเด็กชายศุภวัฒน์ บุตรโจทก์ เข้าไปซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาเพชรบุรี ของจำเลยที่ 1 ด้วยกัน ขณะที่โจทก์และบุตรเดินกลับจากการซื้อสินค้ามายังบริเวณที่จอดรถ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้เข้ามาแจ้งแก่โจทก์ว่า เด็กชายศุภวัฒน์ลักสินค้าในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาเพชรบุรี ของจำเลยที่ 1 และขอตรวจค้นตัวเด็กชายศุภวัฒน์ แต่เมื่อโจทก์ให้เด็กชายศุภวัฒน์ล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาไม่พบสินค้าที่อ้างว่าถูกลักมา จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงกลับไป เห็นว่า โจทก์เป็นบิดาเด็กชายศุภวัฒน์ซึ่งขณะเกิดเหตุอายุ 9 ปี จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายศุภวัฒน์ตามกฎหมายและให้การศึกษาตามสมควร ตลอดจนให้การอบรมสั่งสอนให้เป็นพลเมืองดีของสังคม เหตุที่เด็กชายศุภวัฒน์ถูกกล่าวหาว่าลักทรัพย์ในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่ 1 นั้น เกิดขึ้นขณะที่เด็กชายศุภวัฒน์เดินซื้อสินค้าอยู่กับโจทก์ การควบคุมดูแลเด็กชายศุภวัฒน์มิให้ลักทรัพย์ในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นบิดาด้วย นอกจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะพูดกล่าวหาเด็กชายศุภวัฒน์แล้วยังขอค้นตัวเด็กชายศุภวัฒน์อีก ความเสียหายจึงมิใช่เกิดจากคำพูดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่กล่าวหาเด็กชายศุภวัฒน์เพียงประการเดียว ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยไว้เท่านั้น แต่กระทบถึงโจทก์ซึ่งเป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองอยู่ในขณะนั้นด้วย เพราะบุคคลทั่วไปที่ได้ยินคำพูดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมเข้าใจว่าบุตรโจทก์ชอบลักเล็กขโมยน้อยอันแสดงว่าโจทก์ไม่ดูแลและสั่งสอนบุตรให้เป็นพลเมืองดี หรืออาจเข้าใจได้ว่าโจทก์สนับสนุนบุตรให้ลักเล็กขโมยน้อย ซึ่งโจทก์ย่อมได้รับความอับอายและเสียชื่อเสียง โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียจากการกล่าวหาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เช่นกัน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ประเด็นต่อไปมีว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันกระทำละเมิดโจทก์หรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยังมิได้วินิจฉัยแต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการพิจารณาสามารถวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวได้แล้ว เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวต่อไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาพิพากษาใหม่อีก ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ในฝ่ายป้องกันการสูญหาย มีหน้าที่ป้องกันสินค้าภายในห้าสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาเพชรบุรี ของจำเลยที่ 1 ไม่ให้สูญหาย เหตุเกิดขณะที่โจทก์และบุตร 2 คน เสร็จจากการซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาเพชรบุรี ของจำเลยที่ 1 และกำลังเดินไปขึ้นรถยนต์ซึ่งจอดอยู่บริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้เดินเข้าไปประชิดตัวโจทก์ และแจ้งว่าเป็นพนักงานของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาเพชรบุรี ของจำเลยที่ 1 จะขอตรวจค้นตัวเด็กชายศุภวัฒน์อ้างว่าเด็กชายศุภวัฒน์ลักทรัพย์ในห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่ 1 ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง เมื่อโจทก์บอกให้เด็กชายศุภวัฒน์ล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาก็ไม่พบสิ่งใด จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเดินกลับไป ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์ คือการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 พูดกล่าวหาบุตรโจทก์ว่าลักทรัพย์ในที่สาธารณะต่อหน้าคนจำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ทำให้โจทก์อับอายและเสื่อมเสียชื่อเสียง เห็นว่า การป้องกันทรัพย์สินของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาเพชรบุรี ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ให้สูญหายนั้น เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยตรง ได้ความจากโจทก์ว่าก่อนจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะพูดกล่าวหาบุตรโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนแล้วว่าเป็นพนักงานของห้างสรรพสินค้าดังกล่าวขอตรวจค้นตัวเด็กชายศุภวัฒน์ แต่เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมก็ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้แสดงกิริยาดึงดันจะตรวจค้นให้จงได้แต่อย่างใด กลับเป็นโจทก์เสียอีกที่ผลักอกจำเลยที่ 3 ไม่ยอมให้ตรวจค้นตัวบุตรโจทก์ แต่ให้เด็กชายศุภวัฒน์ล้วงกระเป๋ากางเกงออกมาด้วยตนเองแทน เมื่อไม่พบสิ่งใดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กล่าวคำขอโทษโจทก์ แล้วเดินกลับไป แม้ข้อเท็จจริงในส่วนที่จำเลยที่ 3 กล่าวอ้างว่าแอบเห็นบุตรโจทก์ลักทรัพย์จะยังมิได้พิสูจน์ให้เป็นยุติว่าความจริงเป็นอย่างไรก็ตาม แต่จากพฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าอยู่ในกรอบภาระหน้าที่ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จงใจหรือประมาทเลินเล่อกล่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของโจทก์ อันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ประเด็นในเรื่องค่าเสียหายจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share