แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่งเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้อง” แม้โจทก์จะนำสืบข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 336 ทวิ และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพโดยรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 กระทำความผิดตามบันทึกการจับ เอกสารหมาย จ.6 ก็ตาม แต่เมื่อคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ระบุมาตรา 336 ทวิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษสูงขึ้น อันเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามมาตรา 336 ทวิ ศาลย่อมไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ได้ เพราะเป็นการเกินคำขอที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องทั้งกรณีมิใช่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสี่ และวรรคห้า ปัญหาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 3 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และกรณีดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในลักษณะคดีที่ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 4 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษดุจจำเลยที่ 3 ผู้ฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334, 335, 357 ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันคืนรถบรรทุก ลักษณะกึ่งพ่วง ที่ยังไม่ได้คืน หรือชดใช้ราคา 300,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3635/2558 นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 3 นับโทษจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 และนับโทษจำเลยที่ 5 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3741/2558 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยที่ 1 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพในข้อหาร่วมกันรับของโจร ปฏิเสธในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก, 83 จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3635/2558 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง, 336 ทวิ, 83 จำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 4 ปี 12 เดือน และให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันคืนรถบรรทุกลักษณะกึ่งพ่วงที่ยังไม่ได้คืนหรือร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 ข้อหาและคำขออื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 5
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 5 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ยกคำขอให้นับโทษต่อ ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันคืนรถบรรทุก ลักษณะกึ่งพ่วงที่ยังไม่ได้คืนหรือร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายที่ 2 ขับรถบรรทุก ลักษณะลากจูง หมายเลขทะเบียน 61 – 6808 กรุงเทพมหานคร ของบริษัทฮิตาชิ แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของบริษัทซี. ดี. เอส. ทรานสปอร์ต จำกัด ผู้เสียหายที่ 2 ผู้เช่าซื้อ และรถบรรทุกลักษณะกึ่งพ่วง หมายเลขทะเบียน 73 – 2202 กรุงเทพมหานคร ของผู้เสียหายที่ 2 ไปจอดที่หน้าร้านโลตัส โดยติดเครื่องยนต์ไว้ แล้วลงไปซื้อกาแฟและรถดังกล่าวถูกลักไป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับผู้อื่นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษมาหรือไม่ โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา นายสมนึก ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานขับรถของบริษัทซี. ดี. เอส. ทรานสปอร์ต จำกัด ผู้เสียหายที่ 2 ขับรถบรรทุก ลักษณะลากจูง หมายเลขทะเบียน 61 – 6808 กรุงเทพมหานคร และรถบรรทุกลักษณะกึ่งพ่วง หมายเลขทะเบียน 73 – 2202 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสาย 331 เมื่อไปถึงบริเวณหน้าร้านโลตัส ปิ่นทอง 2 หมู่ที่ 4 ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ผู้เสียหายที่ 3 จอดรถบริเวณหน้าร้านและลงไปซื้อกาแฟโดยติดเครื่องยนต์ไว้แล้วรถถูกลักไป ผู้เสียหายที่ 3 จึงไปแจ้งความต่อพันตำรวจโท สมชาย พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองขาม พันตำรวจโท สมชายกระจายข่าวทางศูนย์วิทยุให้ติดตามรถดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2558 เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีผู้พบเห็นรถบรรทุก ลักษณะลากจูงดังกล่าวแล่นเข้าออกบริเวณไร่ของนายมานะ บิดาของจำเลยที่ 1 ที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เจ้าพนักงานตำรวจจึงไปสังเกตการณ์ที่ไร่ดังกล่าว จนกระทั่งจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกโดยมีจำเลยที่ 2 นั่งมาด้วยเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 แจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่าร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม หรือรับของโจร จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ และให้การว่าร่วมกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 และนายนริศหรือเบิ้ม ลักรถบรรทุก ลักษณะลากจูงและรถบรรทุก ลักษณะกึ่งพ่วงดังกล่าว แล้วร่วมกันแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกเพื่อนำไปขาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังเขียนบันทึกคำรับสารภาพด้วยลายมือของตนเอง ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 17 นาฬิกา ดาบตำรวจ ไพฑูรย์กับพวกจับกุมจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้ แจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ว่า ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือร่วมกันรับของโจร จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพ พิเคราะห์แล้ว โจทก์นำสืบโดยมีพันตำรวจโท สมชาย พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นั่งรถกระบะมากับจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยจำเลยที่ 3 เป็นคนขับ เมื่อจำเลยที่ 3 ขับรถมาถึงที่เกิดเหตุ พบรถบรรทุกคันเกิดเหตุจอดติดเครื่องยนต์ไว้และคนขับรถลงไปจากรถ จำเลยที่ 3 จึงขับรถของตนถอยหลังกลับไปจอดเทียบกับรถบรรทุก แล้วจำเลยที่ 1 ลงไปขับรถบรรทุกที่จอดอยู่ย้อนกลับไปที่ตำบลบ่อวิน นำไปซ่อนไว้ในไร่ซึ่งเป็นที่พักของจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ช่วยกันชำแหละรถพ่วงแล้วนำไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่า ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ได้ ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ จำเลยที่ 5 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันรับของโจร จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพ เห็นว่า พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ไม่เคยรู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะจัดทำบันทึกการจับโดยไม่เป็นความจริง ทั้งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ยังเขียนบันทึกคำรับสารภาพด้วยลายมือของตนเอง ชั้นสอบสวนเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งห้าว่า ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนหรือรับของโจร จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ก็ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 5 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันรับของโจร จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ที่จำเลยที่ 3 นำสืบว่า จำเลยที่ 3 ทำงานอยู่ที่บริษัทนิต้าเทค จำกัด เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2558 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจมาจับจำเลยที่ 3 แล้วเอาเสื้อมาคลุมศีรษะพาขึ้นรถกระบะไปที่ป้อมของสถานีตำรวจภูธรบ่อวิน ขณะอยู่บนรถถูกเจ้าพนักงานตำรวจชกที่ท้อง เมื่อไปถึงพบว่ามีคนถูกจับมาก่อนแล้ว 4 คน เจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายจนจำเลยที่ 3 ทนไม่ไหวจึงรับสารภาพ แล้วพาจำเลยที่ 3 ไปแถลงข่าวที่สถานีตำรวจภูธรสุรศักดิ์ ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกันลักทรัพย์ ให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังนั้น เห็นว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 3 ก็ให้การรับสารภาพฐานร่วมกันลักทรัพย์ โดยมีรายละเอียดสอดคล้องกับคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวน ซึ่งจำเลยที่ 3 ก็นำสืบรับว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 1 ที่สถานที่เกิดเหตุจริง แต่บ่ายเบี่ยงไปว่าไม่ได้ร่วมลักทรัพย์ด้วย แม้การจับกุมจำเลยที่ 3 จะเกิดจากคำซัดทอดของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ให้การในฐานะผู้ต้องหาและก็ให้การรับสารภาพ จึงมิใช่เป็นการซัดทอดเพื่อให้ตนเองพ้นผิดโดยปัดความผิดไปให้จำเลยที่ 3 รับผิดเพียงผู้เดียว จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง เชื่อได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษมา พยานหลักฐานจำเลยที่ 3 ที่นำสืบว่า ให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายและลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การโดยไม่ได้อ่านนั้นเป็นคำเบิกความเพียงลอย ๆ ที่ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
แต่การที่โจทก์ไม่มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ศาลชั้นต้นจะลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 334 มาตรา 335 มาตรา 335 ทวิ หรือมาตรา 336 โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ กึ่งหนึ่ง” ดังนี้ บทบัญญัติว่าการกระทำผิดเช่นนั้นเป็นความผิด โจทก์ต้องระบุมาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) ด้วย และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พิพากษา หรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง” แม้โจทก์จะนำสืบข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 336 ทวิ และจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ โดยรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 กระทำความผิดก็ตาม แต่เมื่อคำขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าท้ายฟ้องของโจทก์ ไม่ระบุมาตรา 336 ทวิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษสูงขึ้น อันเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามมาตรา 336 ทวิ ศาลย่อมไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ได้ เพราะเป็นการเกินคำขอที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้อง ทั้งกรณีมิใช่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ และวรรคห้า ปัญหาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 3 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และกรณีดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในลักษณะคดีที่ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 4 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษดุจจำเลยที่ 3 ผู้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
อนึ่ง ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 15 และมาตรา 16 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 335 วรรคสอง และมาตรา 357 วรรคแรก ให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน ปรากฏว่า โทษจำคุกตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีระวางโทษจำคุกเท่ากัน ส่วนโทษปรับตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมีระวางโทษปรับสูงกว่าโทษปรับตามกฎหมายเดิม ต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งห้า
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง, 83 จำคุกคนละ 5 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2