แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ดังนั้น การที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่า ผู้ร้องและจำเลยสมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นโดยเจตนาไม่สุจริต เพื่อให้ทรัพย์สินพ้นจากการบังคับดคีและทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ โจทก์จึงต้องมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว เมื่อจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้ผู้ร้องตามมูลหนี้สัญญาจะซื้อจะขายและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมจนคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาที่จะเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่ตนย่อมเกิดขึ้นทันทีแม้ผู้ร้องจะต้องชำระเงินที่เหลือจำนวนหนึ่งให้แก่จำเลยตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยก็ตาม การที่ผู้ร้องยังไม่ชำระเงินที่เหลือจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยมีผลเพียงทำให้ผู้ร้องยังไม่อาจจะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตอบแทนเท่านั้นหามีผลทำให้สิทธิของผู้ร้องที่จะเรียกให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหมดไปไม่ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนเหนือที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ.มาตรา 1300 โจทก์ทั้งสองหามีสิทธิขอให้บังคับยึดที่ดินพิพาททั้งสองเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้อันเป็นการกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 287 ได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 7808 และ 7809 ตำบลบางพูด (บางพัง) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ของจำเลยเพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2575/2540 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่ผู้ร้องภายใน 7 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา โจทก์ยึดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงหลังจากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความต่อผู้ร้อง ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง ขอให้เพิกถอนการยึด
โจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า หนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีอยู่จริง ผู้ร้องกับจำเลยสมคบกันทำสัญญาดังกล่าวขึ้นโดยเจตนาไม่สุจริต ทั้งผู้ร้องยังชำระเงินค่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยไม่ครบถ้วน สัญญาประนีประนอมยอมความยังกำหนดไว้ว่า หากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่ผู้ร้อง จำเลยยอมชำระเงินคืนแก่ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ย จึงไม่เป็นการบังคับเอาแก่ทรัพย์เฉพาะให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 7808 และ 7809 ตำบลบางพูด (บางพัง) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ผู้ร้องถึงแก่กรรม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาตให้จ่าสิบเอกบวร เข้าเป็นคู่ความแทนนางชูศรี ผู้ร้อง ผู้มรณะ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2540 ผู้ร้องได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 7808, 7809 ตำบลบางพูด (บางพัง) อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 33.9 และ 35 ตารางวา และให้จำเลยรับเงินจำนวน 1,102,800บาท จากผู้ร้อง หากไม่สามารถโอนได้ให้คืนเงินจำนวน 275,200 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ระหว่างพิจารณา ผู้ร้องกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่ผู้ร้อง และผู้ร้องยอมชำระเงินจำนวน 1,102,800 บาท ให้แก่จำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 275,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่ผู้ร้อง ต่อมาโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสอง ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึด
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องในข้อแรกว่า ผู้ร้องกับจำเลยสมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นโดยเจตนาไม่สุจริตหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ดังนั้นการที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่า ผู้ร้องและจำเลยสมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความขึ้นโดยเจตนาไม่สุจริต เพื่อให้ทรัพย์สินพ้นจากการบังคับคดีและทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ โจทก์จึงต้องมีภาระการพิสูจน์เพื่อหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่จากพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีเพียงนายสมเกียรติ ทนายโจทก์ทั้งสองมาเบิกความว่า ผู้ร้องไม่ใช่ลูกค้าผู้ซื้อที่ดินจากจำเลย เนื่องจากไม่มีชื่อผู้ร้องในบัญชีรายชื่อลูกค้าตามเอกสารหมาย ค. 2 เท่านั้น รายชื่อลูกค้าในรายงานสรุปการขายเอกสารหมาย ค. 2 มิใช่รายชื่อลูกค้าทั้งหมด จึงยังไม่อาจสรุปได้จากเอกสารหมาย ค. 2 ว่า ผู้ร้องมิได้เป็นลูกค้าของจำเลยดังที่นายสมเกียรติอ้าง เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ว่า ผู้ร้องกับจำเลยสมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องกับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยเจตนาไม่สุจริต
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อต่อไปว่า ผู้ร้องอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้ผู้ร้องตามมูลหนี้สัญญาจะซื้อจะขายและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมจนคดีถึงที่สุดแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2575/2540 ของศาลชั้นต้น สิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาที่จะเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่ตนย่อมเกิดขึ้นทันที แม้ผู้ร้องจะต้องชำระเงินที่เหลือจำนวนหนึ่งให้แก่จำเลยตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยก็ตาม การที่ผู้ร้องยังไม่ชำระเงินที่เหลือจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยมีผลเพียงทำให้ผู้ร้องยังไม่อาจจะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตอบแทนเท่านั้น หามีผลทำให้สิทธิของผู้ร้องที่จะเรียกให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหมดไปไม่ ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนเหนือที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์ทั้งสองหามีสิทธิขอให้บังคับคดียึดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้อันเป็นการกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ