แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกล่าวว่าโจทก์ว่าที่ศาลยกฟ้องไม่ลงโทษโจทก์ ก็เพราะเอาเงินไปให้ผู้พิพากษาดังนี้ต้องมีผิดฐานหมิ่นประมาท จำเลยอ้างว่าถ้อยคำเหล่านั้นได้ยินโจทก์เที่ยวพูดมาก่อนมิได้ยืนยันว่าถ้อยคำนั้นเป็นความจริงอย่างใดจึงจะขอสืบความจริงมิได้
ประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม. 220, 222 คดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ปรับจำเลย 80 บาท โทษจำคุกให้รอการลงอาญาดังนี้ จำเลยฎีกาได้ฉะเพราะแต่ปัญหาข้อกฎหมาย
ย่อยาว
ได้ความว่าในระหว่างที่ปลัดอำเภอทำการไต่สวนโจทก์ซึ่งต้องหาว่าลักสุกรจำเลย ปลัดอำเภอถามโจทก์ว่าเคยต้องหาเรื่องอะไรบ้าง โจทก์ตอบว่าเคยต้องหาเรื่องหนึ่งเสร็จไปแล้ว ส่วนอีกเรื่องหนึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณา ทันใดจำเลยพูดขึ้นว่า ” ที่ศาลยกฟ้องไม่ลงโทษ ก็เพราะเอาเงินไปให้ผู้พิพากษา ๓๐ บาท ” โจทก์จึงฟ้องหาว่าหมิ่นประมาท
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยความ ม. ๒๘๒ โดยไม่ยอมให้จำเลยสืบความจริง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าเรื่องนี้จำเลยฎีกาได้ฉะเพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ตั้งใจให้เป็นการร้องเรียนหาว่าโจทก์กระทำผิดอาญา ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงดังนี้ จำเลยจะฎีกามิได้ ฎีกาข้อ ๑ ของจำเลยจึงตกไปส่วนฎีกาข้อ ๒ ที่จำเลยขอสืบความจริงนั้นเห็นว่าจำเลยจะสืบแต่เพียงว่าได้ยินโจทก์เที่ยวพูดมาก่อนว่าที่ศาลไม่ลงโทษก็เพราะเอาเงินไปให้ผู้พิพากษา ซึ่งเท่ากับจำเลยยืนยันว่าโจทก์พูดดังนั้นเท่านั้น จำเลยมิได้ยืนยันว่าโจทก์พูดดังนั้นเท่านั้น เป็นความจริงอย่างไร ศาลจะให้จำเลยสืบเช่นนั้นมิได้ เพราะปัญหาเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นในคดีนี้ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฎีกาจำเลย