คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 797/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฎว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาทำนิติกรรมปลดหนี้ให้บุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นแม่ลูกกันโดยที่ต่างก็รู้อยู่ว่าเป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ เจ้าหนี้ก็ชอบที่จะร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมปลดหนี้นั้นเสียได้
การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องแก่บุคคลที่ 3 อันเป็นเหตุให้เจ้าหนี้เสียประโยชน์เจ้าหนี้ย่อมร้องแทนลูกหนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาคดีแดงที่ ๔๔/๒๔๙๕ จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรจำเลยที่ ๑ เดิมเป็นหนี้จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาคดีแดงที่ ๒๐/๒๔+ จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมปลดหนี้ให้จำเลยที่ ๒ โดยเสน่หา โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการปลดหนี้ระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เพื่อชำระให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ทำนิติกรรมปรานีประนอมยอมความโดยต่างมีค่าตอบแทนมิใช่ให้โดยเสน่หา และไม่ทราบว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ จำเลยที่ ๑ ยังมีทรัพย์อื่นอีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมปลดหนี้หรือยอมความระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ (ม.๒๓๗) โดยข้อเท็จจริงว่านิติกรรมยอมความนั้นไม่มีค่าตอบแทนและจำเลยที่ ๒ รู้อยู่ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ด่าว่าความโจทก์ตามคำพิพากษา และให้โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องแทนจำเลยที่ ๑ ได้ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้โจทก์ตามจำนวนที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระโจทก์ แต่ไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์นำสืบไม่สมว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำนิติกรรมปลดหนี้ให้จำเลยที่ ๒ ตามคดีแพ่งแดงที่ ๒๐/๒๔+ โดยเสน่หา แต่กลับได้ความจากจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท แต่ก็ยังน้อยกว่าที่จำเลยที่ ๒ จะต้องชำระให้จำเลยที่ ๑ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาทเศษ ซึ่งเป็นจำนวนมากอยู่ โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ อยู่ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๘/๒๔๙๕ เสียเปรียบทั้งนี้ เพราะจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรจำเลยที่ ๑ โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยทั้ง ๒ เสียได้ตาม ป.พ.พ.ม. ม. ๒๓๗ เมื่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ โจทก์ไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องซึ่งมีอยู่แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกหนี้ตนตามคำพิพากษาดังกล่าวเบื้องต้น เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้จำเลยที่ ๑ เสียประโยชน์ โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของโจทก์เองแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ โจทก์ย่อมกระทำได้ตาม ป.พ.พ.ม. ๒๓๓ พิพากษายืน

Share