แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องบรรยายว่าคูหรือลำกะโดงรายพิพาทอยู่ระหว่างที่ดินของโจทก์จำเลย ถือตรงกึ่งกลางเป็นแนวเขต และต่างได้ใช้เป็นทางเรือสัญจรไปมาเข้าออกได้ด้วยกัน แม้ในตอนท้ายฟ้องจะมีว่าคูหรือลำกะโดงนี้ตกเป็นภาระจำยอมแล้ว ศาลก็วินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในคูหรือลำกะโดงรายนี้ได้ ไม่ถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยมีที่ดินติดต่อกันทางด้านติดต่อกันมีลำกระโดงหรือคูกว้างประมาณ 4 ศอก ยาวตลอดเนื้อที่ทั้ง 2 ฝ่ายโจทก์จำเลยถือตรงกึ่งกลางคูหรือลำกระโดงเป็นแนวเขตต่างมีสิทธิใช้คูหรือลำกระโดงนั้นเป็นทางสัญจรไปมาเข้าออกได้ด้วยกันประมาณ 26-27 ปีแล้ว บัดนี้จำเลยบังอาจถมดินเป็นทำนบปิดทางเรือเข้าออก อนึ่งคูหรือลำกระโดงนี้ถึงแม้ส่วนมากจะอยู่ในโฉนดของจำเลยก็จริง แต่โจทก์ใช้คูหรือลำกระโดงนี้มาตั้ง 20 ปีกว่าแล้วย่อมตกเป็นภารจำยอม จำเลยไม่มีสิทธิจะปิดได้ จึงขอให้บังคับจำเลยเปิดทำนบที่ปิดให้โจทก์ใช้เรือสัญจรไปมาเข้าออกได้ตามปกติและห้ามอย่าให้จำเลยหรือบริวารใช้เครื่องกีดกันในการสัญจรไปมาแก่คูนั้นอีกต่อไป กับขอให้จดทะเบียนภารจำยอมในโฉนดจำเลยด้วย
ศาลชั้นต้นฟังคำพยานโจทก์เห็นว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในคูรายพิพาทร่วมกัน จึงพิพากษาให้จำเลยเปิดทำนบที่กั้นให้คงสภาพเดิมส่วนที่ขอให้จดทะเบียนภารจำยอม โจทก์ไม่มีอำนาจจะขอให้ทำเช่นนั้นได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาหลายข้อ ข้อ 1 ว่าโจทก์ฟ้องขอให้เปิดทำนบในลำกระโดง โดยบรรยายว่าลำกระโดงเป็นภารจำยอม ศาลจะพิพากษาว่าลำกระโดงเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมระหว่างโจทก์จำเลยไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายชัดแจ้งว่า คูหรือลำกระโดงพิพาทอยู่ระหว่างที่ดินของโจทก์จำเลย ถือตรงกึ่งกลางเป็นแนวเขตและต่างได้ใช้เป็นทางเรือสัญจรไปมาเข้าออกได้ด้วยกัน ฉะนั้นที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในคูหรือลำกระโดงรายนี้ เป็นการวินิจฉัยตรงตามประเด็นแล้ว ที่โจทก์กล่าวตอนท้ายฟ้องว่า คูหรือลำกระโดงรายนี้ตกเป็นภารจำยอมด้วยหาเป็นข้อที่จะทำให้ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วเสียหายไปไม่จึงพิพากษายืน