คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7960/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 90/32 และผู้คัดค้านแถลงคัดค้านคำร้องดังกล่าวศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการไต่สวนหาความจริงในข้อเท็จจริงที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่แล้ววินิจฉัยคดีตามประเด็นซึ่งเกิดจากคำร้องและคำคัดค้านนั้น ในคำสั่งศาลเรื่องดังกล่าวจะต้องแสดงถึงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวงและคำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดี ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย ตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯมาตรา 14 และข้อกำหนดคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 ข้อ 24 การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และมีคำสั่งเพียงว่า เมื่อลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประกาศและข้อปฏิบัติทางราชการ ผู้ร้องไม่อาจอ้างปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างทางปฏิบัติของลูกหนี้ กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการกล่าวแบบรวม ๆ มิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีและแสดงเหตุผลประกอบการวินิจฉัย จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯมาตรา 14 และข้อกำหนดคดีล้มละลายฯ ข้อ 24

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์ คอร์ปอเรท รีสตรัคเจอริ่ง จำกัด เป็นผู้ทำแผนของลูกหนี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2541 ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม2541 ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้ทำแผนคนใหม่ของลูกหนี้ตามมติที่ประชุมเจ้าหนี้

ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำขอรับชำระหนี้ มูลหนี้อันดับที่ 1 หนี้ค่าอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่ได้รับส่งเสริมการลงทุน 1,891,165,815 บาทมูลหนี้อันดับที่ 2 หนี้ค่าอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มในการดำเนินการผลิตภายใต้คลังสินค้าทัณฑ์บน 720,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,611,165,815บาท พร้อมด้วยเงินเพิ่มตามกฎหมายศุลกากรและประมวลรัษฎากร เนื่องจากเงื่อนไขที่ลูกหนี้ยังมิได้หยุดดำเนินกิจการและยังนำเข้าส่งออกอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ รายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้บรรดาเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และผู้ทำแผนตรวจคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 90/29 แล้ว มีผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ทำแผนโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านทั้งสองได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการในมูลหนี้อันดับที่ 1 โดยมีเงื่อนไขว่าหากลูกหนี้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามบัตรส่งเสริมการลงทุนและคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีคำสั่งให้เรียกเก็บแล้ว ผู้คัดค้านทั้งสองจึงได้รับชำระหนี้ตามจำนวนที่เรียกเก็บ แต่ไม่เกินวงเงินดังกล่าวในมูลหนี้อันดับที่ 2 จำนวน22,138,010.37 บาท พร้อมเงินเพิ่มตามกฎหมายศุลกากรและประมวลรัษฎากร นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะชำระเสร็จจากลูกหนี้

ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนพยานทั้งสองฝ่ายเพิ่มเติมในประเด็นภาระภาษีอากรตามจำนวนวัตถุดิบที่ขาดหายจากคลังสินค้าทัณฑ์บน ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2541 และคิดคำนวณภาระภาษีอากร ณ วันดังกล่าวแทนการคิดคำนวณภาระภาษีอากรตามจำนวนวัตถุดิบที่ขาดหายจากคลังสินค้าทัณฑ์บน ณ วันที่ 17 พฤษภาคม2542

ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ในการคำนวณมูลหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ผู้คัดค้านทั้งสองได้ใช้ภาระภาษีที่เกิดขึ้น ณ วันนำเข้าตั้งแต่ลูกหนี้เปิดคลังสินค้าทัณฑ์บนจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเป็นฐานในการคำนวณจำนวนหนี้ ในการปฏิบัติผู้คัดค้านทั้งสองจะใช้ระบบบัญชีเข้าก่อนออกก่อน (FIRST IN FIRST OUT) ควบคุมจำนวนวัตถุดิบในคลังสินค้าทัณฑ์บนของลูกหนี้ โดยจะแบ่งบัญชีออกเป็น 4 งวดบัญชีงวดบัญชีหนึ่งมีระยะเวลา 3 เดือน (เริ่มต้นจาก 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม,1 เมษายน ถึง 30 มิถุนายน, 1 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน, 1 ตุลาคม ถึง31 ธันวาคม) ในวันสิ้นบัญชีแต่ละงวด ลูกหนี้จะต้องจัดส่งรายงานบัญชีการใช้วัตถุดิบ (แบบ กออ. 1 – แบบ กออ. 5) จำนวน 5 บัญชี ในการตรวจสอบบัญชีการใช้วัตถุดิบทุกงวด ผู้คัดค้านทั้งสองจะสรุปยอดวัตถุดิบคงเหลือของแต่ละงวดแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ หากจำนวนวัตถุดิบคงเหลือไม่ตรงตามบัญชี และมีข้อโต้แย้งใด ๆ จะต้องโต้แย้งภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหนังสือซึ่งยอดวัตถุดิบคงเหลือของยอดบัญชีที่สิ้นไป จะใช้เป็นยอดยกมาของงวดบัญชีถัดไป จากการตรวจสอบบัญชีการใช้วัตถุดิบโดยเฉพาะ ตามแบบกออ. 4 ซึ่งเป็นบัญชีแสดงการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบที่มีการใช้ในแต่ละวันของลูกหนี้ในงวดบัญชีที่ 2/2541 คือ ระหว่างวันที่ 1เมษายน 2541 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2541 พบว่าลูกหนี้ได้รับรองยอดวัตถุดิบคงเหลือ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2541 แล้วโดยมิได้มีการโต้แย้งแต่อย่างใด อีกทั้งได้จัดส่งบัญชีการใช้วัตถุดิบ ตามแบบ กออ.1 – กออ.5ของงวดบัญชีถัดไปให้ผู้คัดค้านทั้งสองทำการตรวจสอบและรับรองยอดบัญชีตลอดมา จนกระทั่งลูกหนี้ขอปิดคลังสินค้าทัณฑ์บนเมื่อวันที่ 2ธันวาคม 2542 จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ว่าจำนวนวัตถุดิบที่มีการเคลื่อนไหวหรือใช้ไปในแต่ละวัน ซึ่งลูกหนี้ได้รวบรวมเป็นรายงานบัญชีวัตถุดิบคงเหลือในวันสิ้นงวดบัญชีทุกงวดถูกต้องตรงตามยอดบัญชีที่ได้รับรองนั้น ดังนั้น ในการคำนวณจำนวนหนี้ เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองได้ใช้ภาระภาษีที่เกิดขึ้นในวันนำเข้าก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและจำนวนวัตถุดิบคงเหลือตามระบบบัญชีซึ่งมีการรับรองแล้วมาเป็นฐานในการคำนวณ จึงเป็นการชอบแล้วตามประกาศกรมศุลกากรที่ 13/2534ข้อ 19 เป็นหน้าที่ของลูกหนี้ต้องยื่นรายงานผลสรุปการดำเนินงานให้ผู้คัดค้านทั้งสองตรวจสอบเป็นงวด ๆ ซึ่งเมื่อมีการรับรองยอดคงเหลือของวัตถุดิบ ณ วันสิ้นงวดบัญชีทุกงวดแล้ว ย่อมมีผลผูกพันว่าเป็นจริงตามนั้น การที่ผู้ร้องอ้างว่าลูกหนี้ได้ยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ตามหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต่อผู้ทำแผนมาตรา 90/34แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ข้อสันนิษฐานว่าเป็นหลักฐานอันถูกต้องใช้ยันระหว่างลูกหนี้กับผู้ทำแผน การคำนวณปริมาณวัตถุดิบคงเหลือจะใช้ปริมาณวัตถุดิบซึ่งนำเข้ามาผลิตเป็นสินค้าแล้วส่งออกตามสัดส่วนที่ปรากฏในสูตรการผลิตที่ได้อนุมัติแล้ว และตามประกาศกรมศุลกากรที่ 13/2534 ข้อ 13 ผู้นำของเข้าต้องยื่นสูตรการผลิตให้ผู้คัดค้านทั้งสองพิจารณาอนุมัติในเวลาอันสมควร และต้องยื่นแก้ไขสูตรการผลิตทุกครั้งที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยทันที การที่ลูกหนี้ไม่ได้ยื่นขออนุญาตแก้ไขเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้วัตถุดิบในสูตรการผลิตเพื่อให้ผู้คัดค้านทั้งสองรับรองแล้วกล่าวอ้างว่าได้ใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าส่งออกมากกว่าปริมาณที่กำหนดในสูตรการผลิต จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่ชอบ เพราะโดยปกติวิสัยถ้าลูกหนี้ทราบว่าปริมาณการใช้วัตถุดิบตามสูตรที่ได้รับอนุมัติไม่สอดคล้องกับปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ผลิตจริง ก็ชอบที่จะขอแก้ไขให้ถูกต้องเป็นจริง ประกอบกับทุกสิ้นงวดบัญชีลูกหนี้ต้องรายงานบัญชีวัตถุดิบคงเหลือต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งลูกหนี้ได้ยื่นแบบแสดงการขอตัดบัญชีวัตถุดิบ (กออ.3) โดบใช้ปริมาณการใช้วัตถุดิบตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้ในสูตรการผลิตที่ได้รับอนุมัติแล้วเป็นฐานการคำนวณการตัดยอดบัญชีวัตถุดิบคงเหลือตลอดมา จึงเป็นข้อเท็จจริงที่สนับสนุนว่า ลูกหนี้ยอมรับปริมาณการใช้วัตถุดิบตามสูตรการผลิตดังกล่าวเป็นปริมาณการใช้วัตถุดิบในการผลิตสินค้าส่งออกจริง ทั้งคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ที่เกิดจากการที่ลูกหนี้ได้นำวัตถุดิบเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนเกิน2 ปี และมูลหนี้ที่เกิดจากปริมาณวัตถุดิบที่ขาดหายไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บนเป็นวัตถุดิบคนละชนิดกัน ลูกหนี้จึงต้องรับผิดชำระภาษีที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งเงินเพิ่มทั้งหมด

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงข้อเท็จจริงต่อศาลเพื่อทราบ

ศาลล้มละลายกลางเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดไต่สวน แล้วมีคำสั่งว่าการดำเนินการต่าง ๆ ของผู้คัดค้านทั้งสองต่อลูกหนี้เป็นไปตามกฎหมาย ประกาศของทางราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประกาศและข้อปฏิบัติทางราชการผู้ร้องไม่อาจปฏิเสธความรับผิดในมูลหนี้ภาษีอากร โดยอ้างทางปฏิบัติของลูกหนี้ คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ผู้ร้องว่า ศาลล้มละลายกลางได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีตามคำร้องของผู้ร้องโดยชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า ในการขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/26 ให้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ถ้าคำขอรับชำระหนี้รายนั้นมีผู้โต้แย้ง ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด คือให้ยกคำขอรับชำระหนี้ อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนหรืออนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บางส่วน เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งดังกล่าวแล้วผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/32 และเมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อศาลและผู้คัดค้านทั้งสองแถลงคัดค้านคำร้องดังกล่าว ศาลล้มละลายกลางจะต้องดำเนินการไต่สวนหาความจริงในข้อเท็จจริงที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่แล้ววินิจฉัยคดีตามประเด็นซึ่งเกิดจากคำร้องและคำคัดค้านนั้น ในคำสั่งศาลเรื่องดังกล่าวจะต้องแสดงถึงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวงและคำวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและมีปัญหาข้อกฎหมาย ตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายพ.ศ. 2542 มาตรา 14 และ ข้อกำหนดคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 ข้อ 24ตามคำร้องของผู้ร้องได้อ้างเป็นประเด็น ในการคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในมูลหนี้อันดับที่ 2 ส่วนที่ 1 ภาษีอากรที่วัตถุดิบในคลังสินค้าทัณฑ์บนขาดหายไปว่า จะใช้จำนวนวัตถุดิบในคลังสินค้าที่ขาดหาย ณวันที่ 4 มิถุนายน 2541 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ หรือวันที่ 17พฤษภาคม 2542 ซึ่งเป็นวันที่ผู้คัดค้านทั้งสองเข้าไปตรวจสอบจำนวนวัตถุดิบเป็นฐานในการคำนวณภาระภาษีอากร จำนวนวัตถุดิบที่ขาดหายไปนั้นผู้ร้องสามารถชี้แจงได้หรือไม่ และลูกหนี้ต้องรับผิดภาษีจำนวนเท่าใดและส่วนที่ 2 ภาษีอากรสำหรับวัตถุดิบที่นำเข้ามามีอายุเกิน 2 ปี นับแต่วันนำเข้าเป็นภาระภาษีอากรที่ซ้ำซ้อนกับมูลหนี้ส่วนที่ 1 และเมื่อผู้คัดค้านทั้งสองโต้แย้งประเด็นดังกล่าว ศาลล้มละลายกลางจึงต้องมีคำสั่งโดยวินิจฉัยคดีตามประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวให้เป็นที่ชัดแจ้งว่าจะใช้จำนวนวัตถุดิบที่ขาดหายไป ณ วันใดเป็นฐานในการคำนวณภาษีอากรมีสินค้าประเภทใดขาดหายไป จำนวนเท่าใด แล้วเหตุที่ผู้ร้องอ้างว่าทำให้สินค้าขาดหายนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ และหากเหตุดังกล่าวมีอยู่จริงถือว่าเป็นเหตุอันสมควรหรือไม่ จากเหตุดังกล่าวลูกหนี้ต้องรับผิดในมูลหนี้ภาษีอากรเนื่องจากวัตถุดิบในคลังสินค้าทัณฑ์บนขาดหายตามประกาศกรมศุลกากรที่ 13/2534 เรื่องระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้าข้อ 17 และข้อ 19 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 ทวิ(2)แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 หรือไม่ เพียงใด และในมูลหนี้ภาษีอากรเนื่องจากนำวัตถุดิบเข้ามาค้างเกิน 2 ปี ซ้ำซ้อนกับมูลหนี้ค่าภาษีอากรเนื่องจากจำนวนวัตถุดิบในคลังสินค้าทัณฑ์บนขาดหายไปหรือไม่ อย่างไรการที่ศาลล้มละลายกลางเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ และมีคำสั่งเพียงว่าเมื่อลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประกาศและข้อปฏิบัติทางราชการผู้ร้องไม่อาจอ้างปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างทางปฏิบัติของลูกหนี้ กรณีจึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น คำวินิจฉัยของศาลล้มละลายกลางดังกล่าว เป็นการกล่าวแบบรวม ๆ มิได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดี และแสดงเหตุผลประกอบการวินิจฉัย จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายพ.ศ. 2542 มาตรา 14 และข้อกำหนดคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 ข้อ 24และคดีนี้ปรากฏว่าผู้ร้องประสงค์จะอ้างหรือขอให้เรียกพยานเอกสารอีกหลายฉบับซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการวินิจฉัยประเด็นข้างต้น อีกทั้งได้ระบุรายละเอียดของเอกสารดังกล่าวมาแล้วในคำร้องคัดค้านและคำฟ้องอุทธรณ์พร้อมทั้งขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนเพิ่มเติมนอกจากนี้ในคำร้องและคำคัดค้านยังมีข้อเท็จจริงที่ยังโต้เถียงกันอีกหลายประการ ศาลฎีกาพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เห็นว่ายังไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย จึงจำต้องย้อนสำนวนคืนไปยังศาลล้มละลายกลางเพื่อพิจารณาและมีคำสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) และ (2) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 28”

พิพากษายกคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ยืนตามคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และคำสั่งที่ให้งดการไต่สวนพยาน ให้ศาลล้มละลายกลางดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งใหม่

Share