คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ผู้จำนองค้ำประกันเงินกู้นั้น ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลให้ไว้ต่อโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินโจทก์ ถ้าผิดสัญญาประนีประนอมนั้น ยอมให้โจทก์ยึดที่ดินที่จำนองค้ำประกันขายทอดตลาดได้ เมื่อจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์ย่อมยึดที่ดินนั้นขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องบังคับคดีเอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้ และฟ้องบังคับจำนองซึ่งจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมในศาลว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้หนี้เงินกู้พร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมในสามเดือน ถ้าผิดสัญญายอมให้โจทก์ยึดที่ดินที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด
ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอม โจทก์ยึดที่ดินจำนอง (ของจำเลยที่ ๒) เพื่อขายทอดตลาด จำเลยที่ ๒ ร้องว่าควรยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ก่อน ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า แม้จะมีสัญญาประนีประนอมดังกล่าว โจทก์ก็จะยึดทรัพย์ของจำเลย (ที่ ๒) ทันทีไม่ได้ โจทก์ต้องบังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ ๑ ก่อน เพราะจำเลยที่ ๑ มีทรัพย์พอชำระหนี้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมมีความชัดว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันยอมใช้เงินแก่โจทก์ ถ้าผิดสัญญายอมให้ยึดทรัพย์ที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ เมื่อจำเลยผิดสัญญานี้ โจทก์นำยึดที่ดินที่เป็นทรัพย์จำนองได้ โดยไม่จำต้องไปบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ก่อน
พิพากษายืน.

Share