คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุเกิดเพียงเพราะ จ. กล่าวหา ส. ว่าไปร่วมหลับนอนกับผู้เสียหาย แต่บุคคลทั้งสองก็ปฏิเสธ แม้อาจทำให้จำเลยซึ่งเป็นสามี ส.โกรธเคืองบ้างจึงได้ทำร้ายส. แต่ก็ไม่พอจะถือว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายขณะจะเข้าไปห้ามมิให้ จำเลยทำร้าย ส. จึงไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงจ่าเอกบำรุง เมษสุวรรณ ผู้เสียหายหลายนัดกระสุนปืนถูกบริเวณขาขวา เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัสปัญหาที่จะวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางจรวยพร เมษสุวรรณ เบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย โดยเมื่อจำเลยทำร้ายนางสุรีย์ อินทรแพทย์หรือสุกใส ภริยาจำเลย ผู้เสียหายจะเข้าไปห้าม จำเลยก็ชักอาวุธปืนออกมายิงผู้เสียหาย เห็นว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างมองเห็นกันได้ มีผู้อยู่ตรงที่เกิดเหตุเพียงผู้เสียหายนางจรวยพร นางสุรีย์ และคนร้ายที่ยิงผู้เสียหายเท่านั้น เหตุเกิดต่อหน้านางจรวยพรเมื่อคนร้ายยิงนัดแรกแล้วนางจรวยพรเข้าไปกอดตัวคนร้ายไว้แต่คนร้ายสะบัดหลุดแล้วเข้าไปยิงผู้เสียหายอีกหลายนัดนางจรวยพรย่อมเห็นชัดเจน แม้เมื่อจับกุมจำเลยได้ นางจรวยพรจะไม่ชี้ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายเนื่องจากไม่แน่ใจเพราะเป็นเวลาหลังเกิดเหตุนานถึง 2 ปี แต่นางจรวยพรก็ยืนยันว่าคนร้ายเป็นสามีนางสุรีย์คือจำเลยนั่นเอง นอกจากนี้โจทก์ยังมีคำให้การชั้นสอบสวนของนางสุรีย์และนายสมหมาย ทองศรีตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 เป็นพยาน ซึ่งในขณะเกิดเหตุนายสมหมายอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ บุคคลทั้งสองให้การต่อพนักงานสอบสวนระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย นางสุรีย์เป็นภริยาจำเลย นายสมหมายเป็นสามีของพี่สาวนางสุรีย์ เชื่อว่าให้การตามที่รู้เห็นจริงหลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีเป็นพฤติการณ์ของผู้กระทำผิดชั้นจับกุมก็ให้การรับสารภาพเมื่อฟังพยานโจทก์ประกอบกันทั้งหมดแล้วมีน้ำหนักมั่นคง ที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่โดยมีนายสอาด สุกใส มาเบิกความสนับสนุนนั้น เห็นว่า นายสอาดเป็นบิดาจำเลยคำเบิกความมีน้ำหนักน้อย ทั้งการกล่าวอ้างเช่นนี้กระทำได้โดยง่าย จำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบสนับสนุนให้ชัดเจน พยานจำเลยเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้เสียหายเบิกความแตกต่างกับที่ให้การชั้นสอบสวนโดยชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 แต่เบิกความว่าไม่เห็นคนที่ใช้อาวุธปืนยิงตน ไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้ายนั้นเห็นว่าผู้เสียหายเบิกความเป็นผลดีแก่จำเลย น่าจะเนื่องจากเห็นว่าเหตุเกิดเพราะนางจรรยพรภริยาตนไปกล่าวหานางสุรีย์ว่าไปร่วมหลับนอนกับผู้เสียหาย ไม่ทำให้น้ำหนักพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เสียไป เชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรง จำเลยยิงผู้เสียหายหลายนัด แสดงว่ายิงโดยมีเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าเพราะมีโอกาสเลือกยิงแต่ไม่ยิงให้ถึงแก่ความตายนั้น เห็นว่า ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเพราะผู้เสียหายหลบหนีและมีรถยนต์ขวางกั้น ทำให้จำเลยยิงไม่ถูกอวัยวะสำคัญที่จะทำให้ถึงแก่ความตายหาใช่จำเลยมีโอกาสเลือกยิงดังจำเลยฎีกาไม่ และที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะนั้น เห็นว่า เหตุเกิดเพียงเพราะนางจรรยาพรกล่าวหานางสุรีย์ว่าไปร่วมหลับนอนกับผู้เสียหาย แต่บุคคลทั้งสองก็ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้แม้อาจทำให้จำเลยโกรธเคืองบ้างจึงได้ทำร้ายนางสุรีย์แต่ก็ไม่พอจะถือว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายขณะผู้เสียหายจะเข้าไปห้ามไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่คำให้การของจำเลยชั้นจับกุมที่รับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาสมควรลดโทษให้จำเลยด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share