คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7944/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีของตนในเวลาใดก็ได้ก่อนศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาก็ตามแต่การที่ศาลดังกล่าวจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจ ของศาลโดยพิจารณาจากพฤติการณ์และเหตุผลทั่ว ๆ ไปในคดี รวมทั้ง พิจารณาถึงความสุจริต ในการดำเนินคดีของโจทก์ และผลได้ผลเสียของ คู่ความทุกฝ่ายด้วย การที่โจทก์ขอถอนฟ้องคดีเพราะโจทก์เข้าใจว่าโจทก์จะต้องแพ้คดีซึ่งทนายโจทก์ย่อมทราบดีว่า หากศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์ แพ้คดีแล้ว นอกจากโจทก์จะไม่ได้ค่าธรรมเนียมศาลที่ได้ชำระไว้คืนแล้ว ยังอาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่จำเลยทั้งสามอีกด้วย พฤติการณ์การขอถอนฟ้องของโจทก์จึงมิได้เป็นไปโดยสุจริตอาจทำให้ จำเลยเสียเปรียบ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบแล้ว
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539มาตรา 26 กำหนดให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติ ได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ไว้เป็นอันดับแรก ซึ่งศาลต้องหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยก่อนประเด็นข้อพิพาทข้ออื่น เมื่อทั้ง โจทก์และจำเลยทั้งสามต่างก็ได้อ้าง สำนวนคดีแพ่งก่อนของ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ซึ่งเป็นมูลคดีเดียวกันมาเป็นพยานของตน และศาลได้มีคำสั่งให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีดังกล่าวต่อมาเมื่อคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้วและศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้และข้อเท็จจริงในคดีแพ่งก่อนเพียงพอให้รับฟัง ได้เป็นยุติและเพียงพอในการวินิจฉัยปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ซึ่งจะทำให้คดีเสร็จไปได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยถึงประเด็นข้อพิพาทข้ออื่น อีกต่อไป ศาลก็ย่อมมีอำนาจงดสืบพยานและพิพากษาคดีไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขนส่งสินค้าจำพวกเครื่องหล่อแบบจากเมืองท่าบูซาน ประเทศเกาหลีใต้ มายังกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขนส่งสินค้าดังกล่าว โดยใช้เรืออีเลฟเทอเรีย เค โดยจำเลยที่ 1 ได้ออกใบตราส่งให้แก่โจทก์ เมื่อเรือดังกล่าวเดินทางมาถึงท่าเรือกรุงเทพแล้ว ขณะขนถ่ายสินค้าลงจากเรือปรากฏว่าลวดสลิงที่ใช้ยกสินค้าขาด เป็นเหตุให้สินค้าตกลงไปในระวางเรือกระแทกกับสินค้าอื่น ทำให้สินค้าได้รับความเสียหาย 1 หีบห่อคิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 275,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดคำนวณเป็นเงินไทยจำนวน 15,523,750 บาท ความเสียหายของสินค้าดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างที่สินค้าอยู่ในความดูแลของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ขนส่งสินค้ารายนี้ร่วมกัน นอกจากนี้ การที่คนประจำเรือของจำเลยทั้งสามนำลวดสลิงที่มีขนาดไม่เหมาะสมมาขนสินค้าทำให้ลวดสลิงขาดเป็นเหตุให้สินค้าตกลงและได้รับความเสียหายนั้น จึงเป็นความประมาทเลินเล่อของคนประจำเรือของจำเลยทั้งสามซึ่งจำเลยทั้งสามในฐานะนายจ้างหรือตัวการที่ใช้คนประจำเรือดังกล่าว จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายของสินค้าด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 15,523,750บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้มีกรรมสิทธิ์ในสินค้ารายนี้ แต่บริษัทโทรีเซน (กรุงเทพ) จำกัด ได้มอบหมายโจทก์ให้ทำการขนส่งอีกต่อหนึ่ง และโจทก์มามอบหมายให้จำเลยที่ 1 ขนส่งสินค้ารายนี้อีกต่อหนึ่งโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขนส่งอื่นด้วยกัน โจทก์ยังมิได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เจ้าของสินค้าหรือผู้รับตราส่งหรือผู้มีสิทธิคนอื่น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้บริหารเรืออีเลฟเทอเรีย เค ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของเรือและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อเช่าเหมาเรือลำนี้จากเจ้าของเรือ สำหรับจำเลยที่ 3 เป็นเพียงนายหน้าที่ติดต่อให้จำเลยที่ 1 กับเจ้าของเรืออีเลฟเทอเรีย เค เข้าทำสัญญาเช่าเรือกัน ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมีจำนวนสูงเกินไป จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง

ชั้นชี้สองสถาน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยให้โจทก์นำพยานเข้าสืบก่อนดังนี้

1. โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่

2. จำเลยทั้งสามต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่

3. ค่าเสียหายเกิน 100,000 บาท หรือไม่ และต้องคิดในอัตราแลกเปลี่ยนเงินอัตราใด

ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขออ้างสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นพยาน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเห็นว่า คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 เป็นมูลคดีเดียวกัน พยานหลักฐานที่คู่ความอ้างเป็นชุดเดียวกัน จึงให้นัดพร้อมเพื่อสอบถามและจัดเตรียมพยานหลักฐานก่อนการสืบพยาน

ในวันนัดพร้อมคู่ความแถลงร่วมกันว่า คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 เป็นมูลกรณีเดียวกัน พยานหลักฐานจึงเป็นชุดเดียวกันหมดศาลมีคำสั่งให้ถ่ายเอกสารสำนวนคดีดังกล่าวมาใช้ในคดีนี้ และคู่ความยังเห็นพ้องกันว่าคดีนี้น่าจะมีทางเสร็จไปได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานทนายโจทก์แถลงรับว่าจะไปปรึกษากับตัวโจทก์

ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ทนายโจทก์แถลงว่า วันพรุ่งนี้จะมีการประชุมกรรมการบริษัทโจทก์เกี่ยวกับเรื่องการถอนฟ้อง ขอให้ศาลเลื่อนการพิจารณาคดีนี้ออกไปก่อน ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ในอีก 3 วันถัดไป ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ตามที่เลื่อนมา ทนายโจทก์แถลงว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะถอนฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้ชั่วคราวจนกว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 จะมีคำพิพากษาโดยเลื่อนไปนัดพร้อมในอีก 2 เดือนถัดไป เมื่อถึงวันนัดพร้อมศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้แจ้งให้คู่ความทราบว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 ได้มีคำพิพากษาแล้วและเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้เพียงพอที่จะพิจารณาพิพากษาได้แล้วจึงให้งดสืบพยานและให้คู่ความรอฟังคำพิพากษา ทนายโจทก์แถลงว่าประสงค์จะถอนฟ้องคดีนี้โดยขอเวลาทำคำร้อง แล้วทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องอ้างว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป จำเลยทั้งสามแถลงคัดค้านว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องมาตั้งแต่ต้นและขณะฟ้องคดีโจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าตนไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ยังมิได้ชดใช้เงินจำนวนใด ๆ ให้แก่ผู้ได้รับความเสียหาย เป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิล่วงหน้าเท่านั้น ทนายโจทก์แถลงรับว่าโจทก์ยังมิได้ชดใช้เงินจำนวนใด ๆ ให้แก่บุคคลใด

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ใน(วัน)นัดพิจารณาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2541 และวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 ทนายโจทก์ได้แถลงผลการพิจารณาของโจทก์เกี่ยวกับความประสงค์ที่จะถอนฟ้องคดีนี้ซึ่งทนายโจทก์แถลงว่าโจทก์ไม่มีความประสงค์จะขอถอนฟ้องคดีนี้ ทั้งข้อเท็จจริงตามที่โจทก์รับก็ปรากฏว่าในคดีนี้โจทก์ยังมิได้ชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องเลย ซึ่งจำเลยก็ได้ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายอยู่แล้ว หากอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องย่อมไม่เป็นธรรมแก่จำเลย ทั้งคดีนี้ศาลได้ทำคำพิพากษาไว้พร้อมแล้วด้วย จึงไม่มีเหตุอันควรอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง มีคำสั่งยกคำร้อง

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า บริษัทลักกี้-โกลสตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ขายสินค้ารายนี้ได้ว่าจ้างบริษัทโทรีเซน (กรุงเทพ) จำกัด ให้ทำการขนส่งสินค้าดังกล่าวจากเมืองบูซาน ประเทศเกาหลีใต้ มายังกรุงเทพมหานคร บริษัทโทรีเซน (กรุงเทพ) จำกัด ได้ว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ขนส่งสินค้าแทน และโจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ทำการขนส่งสินค้าอีกต่อหนึ่ง จำเลยที่ 1 ใช้เรืออีเลฟเทอเรีย เค ทำการขนส่งสินค้ามาถึงท่าเรือกรุงเทพแต่ขณะขนถ่ายสินค้าจากเรือ โดยใช้อุปกรณ์ประจำเรือดังกล่าว ลวดสลิงที่ใช้ยกสินค้าขาด เป็นเหตุให้หีบห่อบรรจุสินค้าตกลงไปในระวางเรือ หีบห่อแตก สินค้าภายในได้รับความเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้จำนวน1 หีบห่อ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าดังกล่าวแก่โจทก์และในวันเดียวกันบริษัทแอลจี อินชัวรันซ์ จำกัด ผู้รับประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้จากบริษัทลักกี้-โกลด์สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทโทรีเซน (กรุงเทพ) จำกัด กับพวกรวม 5 คน ซึ่งไม่ใช่จำเลยทั้งสามในคดีนี้เป็นจำเลย เรียกร้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้ารายเดียวกัน ในคดีดังกล่าวศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ทำการพิจารณาเสร็จสิ้นและมีคำพิพากษาให้บริษัทโทรีเซน (กรุงเทพ) จำกัด จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทแอลจี อินชัวรันซ์ จำกัด และยกฟ้องจำเลยอื่น ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 หมายเลขแดงที่ กค.212/2541 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เป็นข้อแรกว่า คำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีของตนในเวลาใดก็ได้ก่อนศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาก็ตาม แต่การที่ศาลดังกล่าวจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่ ย่อมเป็นดุลพินิจของศาล โดยพิจารณาจากพฤติการณ์และเหตุผลทั่ว ๆ ไปในคดี รวมทั้งพิจารณาถึงความสุจริตในการดำเนินคดีของโจทก์ และผลได้ผลเสียของคู่ความทุกฝ่ายด้วยคดีนี้ จำเลยแต่ละคนได้แต่งตั้งทนายความยื่นคำให้การต่อสู้คดีเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องมาตั้งแต่ต้น และหลังจากที่ศาลชี้สองสถานไปแล้วแต่ก่อนเริ่มสืบพยานคดีนี้ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามเคยมีความเห็นร่วมกันว่าคดีน่าจะเสร็จไปโดยวิธีใดวิธีหนึ่งโดยไม่ต้องสืบพยาน ซึ่งทนายโจทก์ก็รับจะไปปรึกษาโจทก์เกี่ยวกับเรื่องการถอนฟ้องคดีนี้แต่แล้วในวันพิจารณาคดีนัดต่อมาทนายโจทก์แถลงยืนยันว่าโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะถอนฟ้องคดีนี้ จึงทำให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางต้องทำการพิจารณาคดีนี้ต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลของคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 ก่อน และเมื่อคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้ว ศาลก็ได้แจ้งให้คู่ความทราบและคำสั่งงดสืบพยานกับให้รอฟังคำพิพากษาในวันเดียวกันนั้น ถึงตอนนี้ทนายโจทก์กลับแถลงขอเวลาทำคำร้องขอถอนฟ้องและได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีนี้ต่อศาลในทันที จึงเป็นที่เห็นได้ว่าการที่โจทก์ขอถอนฟ้องคดีนี้ก็เพราะโจทก์เข้าใจว่าโจทก์จะต้องแพ้คดี ซึ่งทนายโจทก์ย่อมทราบดีว่าหากศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีแล้วนอกจากโจทก์จะไม่ได้ค่าธรรมเนียมศาลที่ได้ชำระไว้คืนแล้ว ยังอาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่จำเลยทั้งสามอีกด้วย พฤติการณ์การขอถอนฟ้องของโจทก์จึงมิได้เป็นไปโดยสุจริต อาจทำให้จำเลยเสียเปรียบ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบแล้วอุทธรณ์โจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปว่า การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งงดสืบพยานและพิพากษาคดีไปนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539มาตรา 26 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น คดีนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ไว้เป็นอันดับแรก ซึ่งศาลต้องหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยก่อนประเด็นข้อพิพาทข้ออื่น เมื่อทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามต่างก็ได้อ้างสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางซึ่งเป็นมูลคดีเดียวกันมาเป็นพยานของตน และศาลได้มีคำสั่งให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลคดีดังกล่าว ต่อมาเมื่อคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้วและศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้และข้อเท็จจริงในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ กค.10/2541 เพียงพอให้รับฟังได้เป็นยุติ และเป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอในการวินิจฉัยปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ซึ่งจะทำให้คดีเสร็จไปได้โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยถึงประเด็นข้อพิพาทข้ออื่นอีกต่อไป ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยานและพิพากษาคดีไปได้ คำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่ให้งดสืบพยานและพิพากษาคดีไปจึงชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share