คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 794/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดาย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ฉะนั้น ฟ้องโจทก์ที่ใช้คำว่า บิดาผู้ปกครองโดยชอบธรรม ย่อมหมายถึงบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมนั่นเอง
เอกสารหมาย จ.1 สืบเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายที่ดิน โดยจำเลยสัญญาว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินให้โจทก์ เอกสารดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาให้โจทก์ฟัองบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้นำที่ดินโฉนดที่ ๔๙๗ เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ของนางผิน มีสุข ซึ่งจำเลยได้วางมัดจำทำสัญญาจะซื้อขายกับนางผิดเจ้าของเดิมไว้ก่อนแล้วมาเสนอขายต่อโจทก์ กับบุคลอื่นอีก ๔ คน คือ นายสุวิทย์ ทัทพนานนท์ นายไสว ทัพนานนท์ นายขจิต ทัพนานนท์ และ นายชนิต ทัพนานนท์ โดยชวนให้ซื้อร่วมกัน แต่เนื่องจากที่ดินแปลงนี้อยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ จำเลยจึงได้รับรองว่า ถ้าโจทก์ตกลงซื้อแล้ว จำเลยจะจัดทำถนนคอนกรึตจากถนนเพชรบุรี (สายใหม่) เข้ามาสู่ที่ดินที่เสนอขายนี้ และจะจดทะเบียนภาระจำยอมให้โดยไม่คิดค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น โจทก์กับพวกจึงตกลงรับซื้อที่แปลงนี้ร่วมกัน จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๕ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่โจทก์กับพวกได้รับโอนที่รายนี้จากนางผินว่าที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยประมาณ ๓๖ ตารางวานั้น จะใช้ทำเป็นถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์กับพวกโดยจำเลยยอมให้โจทก์กับพวกใช้เป็นถนนเข้าออกได้ตลอดไป และเมื่อทางการได้ทำการรังวัดแบ่งแยกออกเป็นโฉนดใหม่เรียบร้อยแล้ว จำเลยจะจดทะเบียนภารจำยอม ที่รายนี้ภายหลังที่โจทก์กับพวกได้รับโอนแล้วได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกออกโฉนดใหม่ตามส่วนที่ได้ตกลงกันไว้ เจ้าพนักงานได้ทำการรังวัดแบ่งแยกเสร็จแล้ว จึงออกโฉนดให้ใหม่เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๐๖ ส่วนของโจทก์ได้แก่โฉนดที่ ๑๖๖๔๒ ส่วนของจำเลยได้แก่โฉนดที่ ๑๖๖๔๔ มีเนื้อที่ ๒๐ ตารางวา กับที่โฉนดเดิมที่ ๔๙๗ ที่เหลือจากการแบ่งแยกแล้ว และจำเลยมีชื่อกรรมสิทธิ์อยู่รวมเท่ากับจำนวนเนื้อที่ถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ จำเลยมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่โจทก์ตามสัญญาแต่จำเลยหาได้ไปจดทะเบียนให้ไม่ ขอให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินโฉนดที่ ๑๖๖๔๔ และโฉนดที่ ๔๙๗ ให้โจทก์ใช้เป็นถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ ถ้าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ขอให้จำเลยย้ายอิฐและสัมภาระออกไปจาก โฉนดที่ ๑๖๖๔๔ และโฉนดที่ ๔๗๙ ของจำเลย เพื่อมิให้กีดขวางต่อการที่โจทก์จะใช้เป็นถนนออกไปยังที่ดินของโจทก์ ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า นาวาเอกวิเศริฐมิได้กล่าวในคำฟ้องว่าเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมว่าเป็นผู้ปกครองเท่านั้น จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้ เด็กหญิงนิดาได้ซื้อที่ดินโฉนด ๔๙๗ จากนางผินเจ้าของเดิม หาใช่จำเลยขายต่อให้ไม่ การที่จำเลยยอมทำหนังสือบันทึกเรื่องให้ใช้ถนนให้แก่เด็กหญิงนิดานั้น เกิดจากการปลอกลวงของฝ่ายเด็กหญิงนิดาว่าจะช่วยให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าทำถนน แต่ต่อมาภายหลังฝ่ายเด็กหญิงนิดาผิดคำพูด จำเลยเห็นว่าเป็นการให้แก่เด็กหญิงนิดา และเป็นสิทธิ์เหนืออสังหาริมทรัพย์ เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานสัญญานี้จึงยังไม่สมบูรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ ๑๖๖๔๔ และโฉนดที่ ๔๙๗ เพื่อให้โจทก์ใช้เป็นถนนเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ตลอดไป ถ้าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามเอาคำพิพากษาของศาลนี้แทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยขนย้ายอิฐและสัมภาระจากที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๑,๒๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ปัญหาแรกที่จะต้องวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ใช้คำว่า เด็กหญิงนิดา วิริยะวิทย์ โดยนาวาเอกวิเศริฐ วิริยะวิทย์ บิดาผู้ปกครองโดยชอบธรรม โจทก์ จะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์หรือไม่ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า นาวาเอกวิเศริฐเป็นบิดาของเด็กหญิงนิดา ย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เด็กหญิงนิดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๗ และ ๑๕๔๑ ที่โจทก์ใช้คำว่า บิดาผู้ปกครองโดยชอบธรรม ย่อมหมายความว่า บิดาผู้แทนโดยชอบธรรม นั่นเอง นาวาเอกวิเศริฐจึงมีสิทธิ์และดำเนินคดีแทนเด็กหญิงนิดาได้ตามกฎหมาย
คดีฟังได้ว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินรายพิพาทจากนางผิน แล้วเอาขายต่อให้โจทก์กับพวกหนึ่ง ที่จำเลยอ้างว่า เอกสารหมาย จ.๑ เป็นสัญญายกให้ซึ่งสิทธิ์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นภารจำยอม จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่สัญญาให้ ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง แต่สืบเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายที่ดิน โดยจำเลยสัญญาว่าจำเลยจะจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ และเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของจำเลยก็เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ไม่สามารถใช้ที่ของโจทก์ได้โดยสะดวก จึงกำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เดือนละ ๓๐๐ บาท
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะค่าสินไหมทดแทน เป็นว่า ให้จำเลยใช้สินไหมทดแทนแก่โจทก์เดือนละ ๓๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะได้ขนย้ายอิฐและสัมภาระออกไปจากที่ดินโฉนดที่ ๑๖๖๔๔ และโฉนดที่ ๔๙๗.

Share