คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 794/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์เพราะโจทก์ตกลงซื้อสวนมะพร้าวจำเลย จำเลยรับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งจะถือเป็นค่าสวนมะพร้าวต่อเมื่อจำเลยสามารถโอนสวนมะพร้าวให้โจทก์ได้ มิใช่โจทก์จำเลยเจตนากู้เงินกัน 60,000 บาทการทำสัญญากู้จึงเห็นการเอาหนี้ตามสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวมาทำเป็นสัญญากู้เงินมิใช่รับเงินเนื่องจากการกู้เงินกันโดยแท้จริงในขณะทำสัญญากู้ยังไม่รู้ว่าจำเลยจะต้องคืนเงินหรือไม่แล้วแต่หนี้ที่จะเกิดจากสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวอีกส่วนหนึ่งเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีในการทำสัญญากู้ที่ให้บังคับกันได้ก็คือให้ใช้เงินคืนแก่กันในลักษณะกู้เงินตามจำนวนที่จะต้องคืนโดยอาศัยหนี้ตามสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวซึ่งหากจะต้องมีการคืนหรือหักเงินกันต่อไปข้างหน้าจำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบว่าความจริงจำเลยรับเงินไปจากโจทก์เพียง 10,000 บาท มิใช่การนำสืบแปลหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำนวนหนี้ตามที่กล่าวในฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์เพราะไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงจำเลยมีสิทธิจะนำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสุดท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ทั้งสองไป 60,000 บาท โดยเอาสวนมะพร้าววางประกันให้โจทก์เก็บกินต่างดอกเบี้ย สัญญาชำระหนี้คืนในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2506 จำเลยรับรองกับโจทก์ว่าถ้าจำเลยหาเงินมาชำระหนี้โจทก์ไม่ได้ หากโจทก์ต้องการจะรับซื้อสวนมะพร้าวจำเลยก็ยอม จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด ทั้งโจทก์ไม่สามารถเข้าเก็บกินสวนมะพร้าวเพราะจำเลยขัดขวาง ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้จำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

จำเลยให้การว่า ไม่ได้กู้และรับเงิน 60,000 บาท โจทก์ที่ 1 กับบิดาขอซื้อสวนมะพร้าวที่จำเลยครอบครองมาเกินกว่า 20 ปี เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพ จำเลยตกลงขายราคา 10,000 บาท ที่ดินยังไม่มี ส.ค.1 โอนที่อำเภอไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ท้ายฟ้องโดยระบุว่ากู้ 60,000 บาท ความจริงจำเลยรับเงินเพียง 10,000 บาท ไม่ได้เขียนในสัญญาว่าจะชำระเงินคืนในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2506 แต่ตกลงกันว่าถ้าไม่ไถ่คืนใน 2 ปี ก็ให้ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ให้กู้ โจทก์เติมข้อความลงไปเองภายหลังจำเลยมอบที่ดินให้โจทก์ไปแล้ว ไม่เคยขัดขวางโจทก์

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินสวนมะพร้าวจากจำเลย ที่ดินไม่มี ส.ค.1 จึงมีการทำสัญญากู้รายนี้ขึ้น จำเลยไม่แจ้งการครอบครองจำเลยย่อมไม่มีสิทธิครอบครอง เมื่อจำเลยโอนที่ดินไม่ได้ จำเลยก็จำต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ และฟังว่าจำเลยรับเงินไปจากโจทก์เพียง 10,000 บาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 10,000 บาทแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ระบุจำนวนเงิน 60,000 บาท ให้โจทก์ไว้จริง จำเลยไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญากู้ว่าจำเลยรับเงินไปจากโจทก์เพียง 10,000 บาทเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินเพราะได้ตกลงซื้อขายสวนมะพร้าวจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะถือเป็นค่าที่สวนมะพร้าวต่อเมื่อจำเลยโอนสวนมะพร้าวให้โจทก์ได้ มิใช่โจทก์จำเลยเจตนากู้เงินกัน 60,000 บาท การทำสัญญากู้ในคดีนี้จึงเป็นการเอาหนี้ตามสัญญาซื้อขายมาทำเป็นสัญญากู้เงินมิใช่รับเงินเนื่องจากการกู้เงินกันโดยแท้จริง ในขณะทำสัญญากู้ก็ยังไม่รู้กันว่าจำเลยจะต้องคืนเงินหรือไม่ แล้วแต่หนี้ที่จะเกิดจากสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวอีกส่วนหนึ่ง เจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีในการทำสัญญากู้ที่จะให้บังคับกันได้ก็คือ ให้ใช้เงินคืนแก่กันในลักษณะกู้เงินตามจำนวนที่จะต้องคืน โดยอาศัยหนี้ตามสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวซึ่งหากจะต้องมีการคืนหรือหักเงินกันต่อไปข้างหน้า ฉะนั้นข้อนำสืบของจำเลยจึงมิใช่การนำสืบแปลหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารเป็นอย่างอื่นอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำนวนหนี้ตามที่กล่าวในฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงจำเลยมีสิทธิจะนำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสุดท้าย

ส่วนข้อเท็จจริงศาลฎีกาฟังว่า จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์เพียง 10,000 บาทเท่านั้น

พิพากษายืน

Share