แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีของจำเลยทำยอมความโอนที่ดินมือเปล่าซึ่งจำเลยและสามีเป็นเจ้าของร่วมกันตีใช้หนี้ให้ผู้ร้อง โดยจะไปโอนทะเบียนให้ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมแล้วนั้น ถือได้ว่ามีเจตนาเพียงจะสละการครอบครองเท่านั้น หากผู้ร้องยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินแล้ว ผู้ร้องก็ยังไม่ได้ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองแต่อย่างใด สิทธิครอบครองที่ดินยังอยู่กับจำเลยและสามีเจ้าหน้อื่นของจำเลยจึงมีสิทธิยึดที่ดินนั้นขายชำระหนี้ได้
ย่อยาว
โจทก์ชนะคดีจำเลย จึงนำยึดนาของนางประวิง ๑ แปลง เพื่อขายชำระหนี้ผู้ร้องร้องชัดทรัพย์ว่าที่ดินที่ยึดเป็นของผู้ร้อง ได้มาตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งแดงที่ ๗๗/๒๕๐๓ ซึ่งนายภิรมย์ สามีจำเลยและจำเลยผู้เป็นหนี้ร่วมได้ยินยอมให้สามีเอาที่ดินดังกล่าวตีใช้หนี้แทนเงินกู้แก่ผู้ร้องตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๐๓
โจทก์คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับนายภิรมย์ผู้ต้องไม่มีสิทธิ ขอให้ปล่อย คำพิพากษาตามยอมผูกพันเฉพาะนายภิรมย์ ส่วนจำเลยไม่ได้ทำยอมด้วย ทั้งจำเลยก็ไม่ได้เป็นหนี้ผู้ร้องร่วมกับนายภิรมย์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทำหนังสือยินยอมให้นายภิรมย์สามีเอาที่ดินส่วนของจำเลยตีใช้หนี้ผู้ร้องได้ เมื่อนายภิรมย์ได้นำที่ดินตีใช้หนี้ผู้ร้องตามยอมในคดีแดงที่ ๗๗/๒๕๐๓ แล้ว ที่ดินก็ตกเป็นของผู้ร้อง โดยจำเลยได้สละสิทธิครอบครองไปแล้ว จึงพิพากษาให้ถอนการยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายภิรมย์ได้จำหน่วยสินบริคณห์โดยได้รับความยินยอมจากจำเลยผู้เป็นภริยา จำเลยจึงหมดสิทธิครองครองในที่ดินรายพิพาทอันเป็นที่มือเปล่าพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จริงฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์เมื่อ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๐๒ โดยอานาตามหนังสือยกให้ฉบับที่ ๙/๑๓ ซึ่งจำเลยกับนายภิรมย์สามีเป็นเจ้าของร่วมกันเป็นประกัน และวันรุ่งขึ้นจำเลยกู้เงินนางนิภาอีก เอานาตามหนังสือยกให้ฉบับที่ ๗/๑๑ ซึ่งจำเลยกับนายภิรมย์สามีเป็นเจ้าของร่วมกันเป็นประกัน โจทก์ฟ้องจำเลย๒๓ สิงหาคม ๒๕๐๓ นางนิภาฟ้องจำเลย ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๓ โจทก์และนางนิภาชนะคดีแล้ว ยึดที่ดิน ๒ รายนี้เพื่อขายใช้หนี้
ฝ่ายผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องนายภิรมย์เรียกเงินกู้เมื่อ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๓ หลังจากนางนิภาฟ้องจำเลย และในวันที่ ๑๙ เดือนสิงหาคม นั้น นายภิรมย์ทำยอมที่ศาลตกลงยอมโอนที่ดินที่นางประวิงจำเลยเอาประกันเงินกู้โจทก์และนางนิภา กับที่ดินที่นายภิรมย์ประกันเงินกู้ผู้ร้องตีใช้หนี้ผู้ร้อง ศาลมีหนังสือลงวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๐๓ ถึงอำเภอให้ทำนิติกรรมโอนที่ให้ผู้ร้องตามยอม แต่ทางอำเภอยังมิได้ทำนิติกรรมโอนให้ผู้ร้อง เพราะโจทก์คัดค้านไว้ และยึดที่แปลงพิพาทเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๔ ที่ดินที่ผู้ร้องรับโอนไปตามยอมนั้นเป็นที่มือเปล่า ไม่ปรากฎว่าผู้ร้องได้รับมอบหรือเข้าครอบครองประการใด
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายภิรมย์ทำยอมยกที่พิพาทอันเป็นที่มือเปล่าตีใช้หนี้ผู้ร้องในคดีแดงที่ ๗๗/๒๕๐๓ นั้น แม้ศาลจะได้พิพากษาตามยอมแล้วก็ดี ก็ยังหาทำให้ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยได้มาโดยคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวอ้างในคำร้องขัดทรัพย์ไม่เพราะผู้ร้องยังมิได้ครอบครองที่ดิน จึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ สัญญายอมซึ่งนายภิรมย์ทำให้ผู้ร้องนั้น ก็มีข้อความว่าจะไปโอนทะเบียนให้ จึงถือได้เพียงว่ามีเจตนาจะสละการครอบครองเท่านั้น สิทธิครอบครองยังคงอยู่กับนายภิรมย์และจำเลย เพราะฉะนั้นผู้ร้องจึงหาได้ที่พิพาทไปโดยทางหนึ่งทางใดไม่ โจทก์จึงยึดเพื่อขายชำระหนี้ได้
พิพาษากลับให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเสีย.