คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7934/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งการคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนด ถ้าไม่ตกลงกัน ให้คู่ความที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 วรรคสอง กล่าวคือโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดราคาเสียใหม่ได้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายแล้ว โจทก์ก็ไม่ได้คัดค้านและต่อมาโจทก์ขอถอนการยึดและเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการยึดและถอนการบังคับคดีเรื่องนี้กับได้รายงานให้ศาลชั้นต้นทราบแล้ว ต่อมาโจทก์เพิ่งมายื่นคำร้องขอคืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินจากทุนทรัพย์ในคดีที่โจทก์ ควรเสียเป็นคดีนี้ เมื่อเวลาล่วงเลยมานานถึง 5 ปีแล้ว กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองจึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งยกคำร้องของโจทก์เสีย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน 400,493 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 400,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2223 ของจำเลย ต่อมาโจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยครบถ้วนแล้วไม่ประสงค์จะบังคับคดีต่อไปขอถอนการยึดทรัพย์เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงคิดค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายจากราคาที่ดินที่ประเมินไว้ 21,490,000 บาท เป็นเงิน752,990 บาท โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายจำนวน 752,990 บาทไม่ถูกต้อง ค่าธรรมเนียมในกรณียึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายต้องคิดจากจำนวนเงิน 400,493 บาท อันเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ซึ่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพียง 14,017.25 บาท จึงขอคืนค่าธรรมเนียมส่วนที่เกินจำนวน 738,972.75 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการคิดค่าธรรมเนียมของเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการไปถูกต้องแล้ว จึงไม่อาจสั่งคืนให้โจทก์ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2539 ว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2532โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 2223 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประเมินราคาไว้ 21,490,000 บาท ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2534 โจทก์ขอถอนการยึดเพราะจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ในการคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเมื่อยึดแล้วไม่มีการขายตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดให้โจทก์เสียในราคาที่ประเมินไว้คือ 21,490,000 บาท โจทก์ได้ชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวครบถ้วนแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ถอนการยึดและถอนการบังคับคดีในเรื่องนี้ไปและรายงานให้ศาลชั้นต้นทราบแล้วเห็นว่า ตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนดถ้าไม่ตกลงกัน ให้คู่ความที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 วรรคสอง กล่าวคือ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดราคาเสียใหม่ได้ แต่ปรากฏว่าเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดราคาแล้ว โจทก์ก็ไม่ได้คัดค้านและมายื่นคำร้องในคดีนี้ในวันที่ 11 มิถุนายน 2539ล่วงเลยมานานถึง 5 ปีแล้ว กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งยกคำร้องของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share