คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7929/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาภายในเวลาที่สมควรนั้น ต้องโต้แย้งภายหลังเมื่อศาลออกคำสั่งแล้ว ตามข้อเท็จจริงผู้ร้องเพียงแต่ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ก่อนหรือภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ผู้คัดค้านจึงไม่อาจอ้างตนเอง และหรืออ้างบุคคลอื่นเข้ามาเบิกความเป็นพยานได้ อีกทั้งพยานเอกสารที่ได้อ้างประกอบการถามพยานผู้ร้องที่ศาลแพ่งก็ไม่อาจรับฟังได้เช่นกัน และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ อันมีผลเท่ากับให้ถือเอาบัญชีระบุพยานที่นาย ด. เคยยื่นไว้ก่อนถึงแก่ความตายเป็นบัญชีระบุพยานของผู้คัดค้าน และอนุญาตให้ผู้คัดค้านยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ ซึ่งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากผู้ร้องไม่เห็นด้วยก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ แต่หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าว จนกระทั่งถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งเป็นวันอ่านคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นเวลา 2 เดือนเศษ ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ จึงเป็นเรื่องไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (2)
เมื่อพิจารณาพินัยกรรม เอกสารหมาย ร.3 แล้ว ปรากฏว่ามีลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายและหัวแม่มือขวา และมีนาย อ. กับดาบตำรวจ ช. เป็นผู้รับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ตายไว้ ซึ่งตามพินัยกรรมระบุข้อความไว้ว่า ผู้ตายได้พิมพ์หัวนิ้วมือซ้ายเป็นสำคัญต่อหน้าพยาน จึงเห็นได้ว่า ลายพิมพ์นิ้วมือขวาของผู้ตายเป็นการพิมพ์ลายนิ้วมือเกินกว่าที่ระบุไว้ในพินัยกรรม แต่ไม่ทำให้พินัยกรรมเสียไปแต่อย่างใด พินัยกรรมดังกล่าวยังมีผลสมบูรณ์

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก
นายดำรงค์ ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องและแต่งตั้งนายดำรงค์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ในระหว่างพิจารณา นายดำรงค์ ถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีส่วนของนายดำรงค์ออกจากสารบบความ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องและแต่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ระหว่างพิจารณาคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนหรือภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่อาจรับฟังพยานผู้คัดค้านได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า บัญชีระบุพยานเดิมที่นายดำรงค์เคยยื่นไว้ถือเป็นบัญชีระบุพยานของผู้คัดค้านด้วยเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกัน และอนุญาตให้ผู้คัดค้านยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งตั้งนางวลัยพร ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนายธวัชชัย ผู้ตาย กับให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาและอุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับว่า มีคำสั่งตั้งนางอุไร ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายธวัชชัย ผู้ตาย กับให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของผู้ร้องว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของผู้ร้องชอบหรือไม่ เห็นว่า การโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาภายในเวลาที่สมควรนั้น ต้องโต้แย้งภายหลังเมื่อศาลออกคำสั่งแล้ว ตามข้อเท็จจริงผู้ร้องเพียงแต่ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ก่อนหรือภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ผู้คัดค้านจึงไม่อาจอ้างตนเอง และหรืออ้างบุคคลอื่นเข้ามาเบิกความเป็นพยานได้ อีกทั้งพยานเอกสารที่ได้อ้างประกอบการถามค้านพยานผู้ร้องที่ศาลแพ่ง ก็ไม่อาจรับฟังได้เช่นกัน และปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้คัดค้านยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ อันมีผลเท่ากับให้ถือเอาบัญชีระบุพยานที่นายดำรงค์เคยยื่นไว้ก่อนถึงแก่ความตายเป็นบัญชีระบุพยานของผู้คัดค้าน และอนุญาตให้ผู้คัดค้านยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ ซึ่งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากผู้ร้องไม่เห็นด้วยก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ แต่หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าว จนกระทั่งถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งเป็นวันอ่านคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นเวลา 2 เดือนเศษ ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ จึงเป็นเรื่องไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาผู้ร้องไว้วินิจฉัยจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า พินัยกรรมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ เห็นได้ว่า ลายพิมพ์นิ้วมือขวาของผู้ตายเป็นการพิมพ์ลายนิ้วมือเกินกว่าที่ระบุไว้ในพินัยกรรม แต่ไม่ทำให้พินัยกรรมเสียไปแต่อย่างใด พินัยกรรมดังกล่าวยังมีผลสมบูรณ์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยให้เหตุผลมา ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ปัญหาว่า ขณะทำพินัยกรรมผู้ตายมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์หรือไม่ และผู้ตายทำพินัยกรรมตรงตามเจตนาหรือไม่ ได้ความว่า ก่อนทำพินัยกรรมผู้ตายป่วยมีอาการเป็นโรคจิตประสาทต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลลำปาง นอกจากนี้ยังเข้ารักษาโรคต้อกระจก และขณะทำพินัยกรรมผู้ตายต้องนอนอยู่บนที่นอนไม่สามารถเดินไปที่ใดได้ และมีอาการมือแข็งเขียนหนังสือหรือลงลายมือชื่อไม่ได้ ทั้งเป็นโรคกระดูกพรุน แต่ปรากฏตามใบรับรองการตรวจร่างกายและประวัติการรักษาผู้ตาย ผู้ตายได้รับการรักษาโดยวิธีรับประทานยาสม่ำเสมอและผู้ตายสามารถพูดคุยกับแพทย์ได้ แสดงว่าผู้ตายต้องมีสติสัมปชัญญะดีพอสมควร จึงมีความเข้าใจและสื่อสารโต้ตอบได้ ส่วนที่ผู้ตายมีอาการป่วยอย่างอื่นรวมทั้งต้องนอนอยู่บนที่นอนก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำพินัยกรรมแต่อย่างใด การที่ผู้ตายเคยอ่านเขียนหนังสือได้ลงลายมือชื่อได้ แต่ขณะทำพินัยกรรมมีอาการป่วยและมือแข็งทำให้ลงลายมือชื่อไม่ได้จึงต้องพิมพ์ลายนิ้วมือแทนก็เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้สำหรับคนชราและป่วย จึงยังไม่เป็นพิรุธแต่อย่างใด นอกจากนี้ได้ความจากนายอนุชิตผู้จัดทำพินัยกรรมเบิกความยืนยันว่า ขณะทำพินัยกรรมผู้ตายสามารถเข้าใจพูดโต้ตอบกับพยานได้ เมื่อพยานทำพินัยกรรมแล้วได้อ่านให้ผู้ตายฟัง ผู้ตายประสงค์จะยกที่ดินให้ผู้ร้อง พยานเป็นผู้จับยกนิ้วมือของผู้ตายพิมพ์ลงในพินัยกรรมโดยผู้ตายยินยอมให้พยานจับพิมพ์ลายนิ้วมือ และมีนางอาจินต์กับดาบตำรวจชัยรัตน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกของผู้ตายเบิกความสอดคล้องกันว่า พยานทั้งสองได้ยินนายอนุชิตสอบถามผู้ตายว่าจะยกที่ดินให้ใคร ผู้ตายบอกว่ายกให้ผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ดูแลผู้ตาย และนายอนุชิตได้อ่านพินัยกรรมให้ผู้ตายฟังก่อนแล้วจึงให้ผู้ตายพิมพ์ลายนิ้วมือ เห็นว่า คำเบิกความของพยานสองปากนี้มีน้ำหนักสนับสนุนพยานหลักฐานของผู้ร้องให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น เมื่อผู้คัดค้านเพียงแต่เบิกความอย่างลอย ๆ ว่า ขณะทำพินัยกรรมผู้ตายไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะทำพินัยกรรมได้ แต่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์หรือพยานอื่นที่มีน้ำหนักมาสนับสนุนให้เห็นได้เช่นนั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ตามข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่า ผู้ตายถูกบังคับข่มขู่ให้ทำพินัยกรรม และไม่ได้สำคัญผิดในการทำพินัยกรรมแต่อย่างใด จึงรับฟังว่าพินัยกรรมทำถูกต้องและตรงตามเจตนารมณ์ของผู้ตาย จึงมีผลสมบูรณ์ ไม่เป็นโมฆะดังที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้าง เมื่อตามพินัยกรรมระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share