แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้การสับเปลี่ยนผู้ต้องหาในคดีนี้จะกระทำในชั้นสอบสวนก่อนมีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นเหตุขัดขวางมิให้การดำเนินคดีในศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและถูกต้อง เพราะทำให้มีการดำเนินคดีอาญาในศาลต่อบุคคลผู้บริสุทธิ์โดยผู้กระทำความผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษ การที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคบคิดกันจัดให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน โดยมีเจตนาให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งไม่ได้กระทำความผิดอาญาถูกดำเนินคดีในศาลแทนนาย อ. และเพื่อให้นาย อ. รอดพ้นจากการถูกลงโทษในความผิดที่ได้กระทำ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองย่อมก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในศาล อันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แล้ว เมื่อความปรากฏแก่ศาลตามคำแถลงของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองกระทำความผิดดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งลงโทษได้ทันทีโดยไม่จำต้องทำการไต่สวนข้อเท็จจริง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นว่า ขับรถยนต์กระบะด้วยความประมาทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่นายดนุพลสุวาชาติ ขับและเด็กชายอิฐศรา สมบุญเกิด นั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้นายดนุพลรับอันตรายแก่กายและเด็กชายอิฐศรารับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สืบเสาะและพินิจก่อนมีคำพิพากษาผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ในระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ในวันนัดฟังคำพิพากษาผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมาศาล ศาลชั้นต้นแจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ทราบแล้ว และเห็นว่าตามรายงานดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุเฉี่ยวชนนายดนุพลและเด็กชายอิฐศราผู้เสียหายทั้งสอง แต่นายอนุรักษ์เสนานุช หลานชายของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนผู้เสียหายทั้งสอง ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ขอร้องให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 รับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนผู้เสียหายทั้งสอง เนื่องจากนายอนุรักษ์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จึงรับสมอ้างเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนผู้เสียหายทั้งสอง ศาลชั้นต้นได้สอบถามผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองแล้วผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองยอมรับว่าความจริงเป็นดังรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวทั้งสองเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคนละ 3 เดือน
ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในข้อแรกตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) หรือไม่ โดยผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 แล้ว ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ให้การรับสารภาพต่อศาลชั้นต้นในความผิดที่โจทก์ฟ้อง รวมทั้งได้ลงลายมือชื่อในคำให้การจำเลยที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ และการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ลงลายมือชื่อในคำร้องขอปล่อยชั่วคราว และสัญญาประกันผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นเพียงการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบเท่านั้น แม้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจะกระทำไปในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ส่วนการที่ผู้ถูกกล่าวหารับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสอันเป็นการสับเปลี่ยนกับนายอนุรักษ์ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด ก็เป็นการกระทำในชั้นสอบสวนก่อนมีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจึงไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นการละเมิดอำนาจศาลนั้น เห็นว่า แม้การสับเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในคดีนี้จะกระทำในชั้นสอบสวนก่อนมีการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นเหตุขัดขวางมิให้การดำเนินคดีในศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรมและถูกต้อง เพราะทำให้มีการดำเนินคดีอาญาในศาลต่อบุคคลผู้บริสุทธิ์โดยผู้กระทำความผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคบคิดกันจัดให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน โดยมีเจตนาให้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งมิได้กระทำความผิดอาญาถูกดำเนินคดีในศาลแทนนายอนุรักษ์ และเพื่อให้นายอนุรักษ์รอดพ้นจากการถูกลงโทษในความผิดที่กระทำ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองย่อมก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในศาล อันเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แล้วอนึ่ง เมื่อความปรากฏแก่ศาลตามคำแถลงของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้กระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลย่อมมีอำนาจสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองได้ทันที โดยไม่จำต้องทำการไต่สวนข้อเท็จจริงตามที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฎีกา ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองตามที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฎีกาหรือไม่ เห็นว่าแม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมอยู่บ้าง แต่ศาลฎีกาเห็นว่า การรอการลงโทษจำคุกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมและกลับตนเป็นพลเมืองดีของสังคมน่าจะเป็นผลดียิ่งกว่าการลงโทษจำคุก ซึ่งนอกจากไม่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมีโอกาสประกอบสัมมาอาชีวะต่อไปแล้ว ยังส่งผลให้บุคคลทั้งสองได้ชื่อว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนทำให้ยากที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมทั้งยังเป็นภาระของประเทศชาติอีกด้วยที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น แต่เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเข็ดหลาบ สมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคนละ 500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56หากไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1