คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีโจทก์ร่วมเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยกอดปล้ำโจทก์ร่วมในตอนกลางวัน โจทก์ร่วมได้แจ้งความไว้ และมีพยานแวดล้อมโดยคืนเดียวกันโจทก์ร่วมเห็นมือคนลอดบานเกร็ด ช่องลมเหนือประตูบ้านเข้ามาและดึงมือกลับไป รุ่งขึ้นโจทก์ร่วมพบรอยหยด เลือดที่พื้นหน้าบ้านและรอยเลือดที่เกิดจากการสะบัดที่ผนังบ้านกับพบจำเลยมีแผลที่มือ จึงไปแจ้งความไว้อีก พนักงานสอบสวนยืนยันคำของโจทก์ร่วม มีพยานอีกสองปากได้ยินเสียงผู้หญิงร้องในตอนกลางวันของวันเกิดเหตุ กับมีพยาบาล ผู้ทำแผลให้จำเลยในคืนเกิดเหตุเป็นพยานว่า จำเลยรับว่าถูกกระจกบาดมือ ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์มี เหตุผลเชื่อมโยง ชี้ให้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้าย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 364, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นางสาวปัทมา คุ้มพรรคผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 364 ประกอบด้วยมาตรา 90 ลงโทษตามมาตรา 278 จำคุก 4 ปีคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…โจทก์มีโจทก์ร่วมเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา เมื่อโจทก์ร่วมอาบน้ำเสร็จ นุ่งกระโจมอกเดินออกจากห้องน้ำ พบจำเลยยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ โจทก์ร่วมจึงปิดประตูห้องน้ำ จำเลยดันประตูห้องน้ำเข้าไปกอดปล้ำโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมดิ้นรนขัดขวางและส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จำเลยจึงหนีออกจากบ้านไป โจทก์ร่วมได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเมื่อเวลาประมาณ 12 นาฬิกา ของวันนั้น ต่อมาวันเดียวกัน เวลา 20.30 นาฬิกา ขณะโจทก์ร่วมอยู่ในห้องน้ำ ได้ยินเสียงกุกกักที่ประตูหน้าบ้าน เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาดู เห็นมือคนลอดบานเกร็ดช่องลมเหนือประตูบ้านพักเข้ามาและดึงมือกลับไปพอเช้าวันรุ่งขึ้น โจทก์ร่วมเปิดประตูหน้าบ้านออกมาพบรอยหยดเลือดที่พื้นซีเมนต์หน้าบ้านพัก และรอยเลือดติดอยู่ที่ผนังบ้านพักตรงที่เกิดเหตุเป็นรอยที่เกิดจากการสะบัด เมื่อโจทก์ร่วมไปที่ทำงานก็พบจำเลยมีแผลที่มือ โจทก์ร่วมจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเป็นครั้งที่สอง และได้นำชี้ที่เกิดเหตุให้พนักงานสอบสวนดูรอยคราบเลือดที่ติดอยู่ที่บานเกร็ดช่องลมเหนือประตูบ้านพัก และรอยหยดเลือดที่หยดอยู่กับพื้น แสดงว่าคนร้ายที่ใช้มือล้วงเข้าไปทางบานเกร็ดช่องลมเหนือประตูถูกกระจกบาดมือ โดยโจทก์มีร้อยตำรวจเอกไพบูลย์ แสวงศักดิ์พนักงานสอบสวนมาเบิกความรับรองความข้อนี้ นอกจากนั้น โจทก์ยังมีนายคำรณ เนตรายนต์และนายสุนทร อิ่มอุไร ซึ่งมีอาชีพรับจ้างแบกเสาปูนซีเมนต์ทำค้างปลูกพริกไทยบริเวณไร่ ซึ่งอยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 50 เมตร เบิกความยืนยันตรงกันว่าขณะทำงานอยู่ในเวลาประมาณ10 นาฬิกาของวันเกิดเหตุ พยานได้ยินเสียงร้องหวีดว้ายของผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากบริเวณบ้านพักที่เกิดเหตุ ยิ่งกว่านั้นโจทก์ยังมีนางสาวรัชนี ฉิมพาลี พยาบาลประจำโรงพยาบาลเขาสมิงมาเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 19.30 นาฬิกา จำเลยได้ไปพบพยานเพื่อให้ทำบาดแผลถูกของมีคมที่หลังมือขวาสองแผล มีเลือดไหลอยู่ พยานได้สอบถามว่า บาดแผลเกิดจากอะไร จำเลยบอกว่าโดนกระจกบาดมา เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลเชื่อมโยงชี้ให้เห็นว่า บุคคลที่ใช้มือล้วงเข้าช่องบานเกร็ดเหนือประตูบ้านพักโจทก์ร่วมในคืนเกิดเหตุคือจำเลย และจำเลยได้เข้าไปในบ้านพักโจทก์ร่วมและใช้กำลังกอดปล้ำกระทำอนาจารโจทก์ร่วมจริงดังฟ้อง ที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์ร่วมและจำเลยมีความรักใคร่กันในทางชู้สาวถึงขั้นได้เสียกันมาก่อนนั้น คงมีแต่คำเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ของจำเลย ทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยก็มิได้ยกข้ออ้างดังกล่าวไว้ให้ปรากฏ พยานหลักฐานของจำเลย จึงไม่พอรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยรับราชการเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ชอบที่จะต้องมีความรู้และความคิดรับผิดชอบสูงกว่าประชาชนโดยทั่วไป แต่กลับกระทำความผิดโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายเช่นนี้จึงไม่สมควรรอการลงโทษให้”
พิพากษายืน.

Share